วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์


คอมพิวเตอร์ คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ทำงานตามชุดคำสั่งอย่างอัตโนมัติและให้ผลลัพธ์ออกมาตามต้องการ ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ตลอดจนอุปกรณ์ต่างๆ รวมเรียกว่า ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
การทำงานของคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยหน่วยสำคัญ 5 หน่วย คือ
หน่วยรับข้อมูล (Input Unit)
หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU)
หน่วยความจำหลัก (Main Memory)
หน่วยความจำสำรอง (Secondary Memory)
หน่วยแสดงผล (Output Unit)
กลไกการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่เกิดจากองค์ประกอบต่างๆ เริ่มด้วยเมื่อมีการกดปุ่มเครื่องคอมพิวเตอร์ โปรแกรมหรือชุึดคำสั่งที่อยู่ในหน่วยความจำหลัก จะทำการตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อมที่จะทำงาน เมื่อตรวจสอบเสร็จคอมพิวเตอร์จะแสดงให้เห็นว่าพร้อมที่จะทำงาน ก็จะมีการป้อนคำสั่งหรือโปรแกรมหรือข้อมูลโดยผ่านหน่วยรับข้อมูล แล้วนำไปเก็บไว้ที่หน่วยความจำหลัก ต่อจากนั้น หน่วยประมวลผลกลางก็จะทำการตามคำสั่งของโปรแกรมซึ่งเรียกว่า การประมวลผล แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้เก็บไว้ที่ หน่วยความจำ และจะแสดงผลลัพธ์ผ่านหน่วยแสดงผลเมื่อมีคำสั่งให้แสดงผลลัพธ์
หน่วยรับข้อมูล (Input Unit)
หน่วยรับข้อมูล คือ เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลรับข้อมูลหรือคำสั่ง จากผู้ใช้เข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ โดยแปลงข้อมูลหรือคำสั่งนั้นให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำการประมวลผลต่อไป
อุปกรณ์รับข้อมูล ได้แก่ Mouse Keyboard
Joy Sticks Track Ball
Touch Screen Scanner
Digital Camera Light Pen
POS (Point of Sale Terminal) OMR (Optical Mark Reader)
หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU)

หน่วยประมวลผลกลาง คือ ส่วนที่ทำหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งที่รับมาจากหน่วยรับข้อมูล และควบคุมการปฏิบัติงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
หน่วยประมวลผลกลางประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ
หน่วยควบคุม (Control Unit)
ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบทั้งหมด ให้ทำงานอย่างถูกต้อง

หน่วยคำนวณ (Arithmetic Logic Unit) ทำ หน้าที่ประมวลผลข้อมูลทางคณิตศาสตร์และทางตรรกะ เช่น
- การคำนวณทางคณิตศาสตร์ ได้แก่ การบวก ลบ คูณ หาร - การกระทำทางตรรกะ (AND , OR) - การเปรียบเทียบ เช่น การเปรียบเทียบค่าของข้อมูล 2 ตัวว่ามีค่าเท่ากัน มากกว่า หรือน้อยกว่า ไม่ว่าข้อมูลจะเป็นตัวเลข หรือตัวอักษรก้สามารถเปรียบเทียบได้ - การเลื่อนข้อมูล (Shift) - การเพิ่มและการลด (Increment and Decrement) - การตรวจสอบบิท (Test Bit)
หน่วยความจำหลัก (Main Memory)
หน่วยความจำหลัก เป็นหน่วยความจำที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. รอม (ROM : Read Only Memory) เป็นหน่วยความจำหลักที่ - ใช้บรรจุโปรแกรมสำคัญ ที่ใช้ในการสตาร์ทอัพเครื่อง - เก็บโปรแกรมคำสั่งไว้อย่างถาวร - ไม่ต้องใช้กระแสไฟฟ้าเลี้ยง ข้อมูลก็จะยังคงอยู่ - เขียนหรือบันทึกข้อมูลคำสั่งได้เพียงครั้งเดียว ในขั้นตอนการผลิตเครื่องจากโรงงาน ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้อีก - อ่านข้อมูลได้อย่างเดียว และการเข้าถึงข้อมูลเป็นแบบสุ่ม
2. แรม (RAM : Random Access Memory) - ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่รับเข้ามาจากหน่วยรับข้อมูล เพื่อนำไปประมวลผล - ทำหน้าที่เก็บผลลัพธ์ที่ได้ขณะทำการประมวลผลซึ่งยังไม่ใช่ผลลัพธ์สุดท้าย - ทำหน้าที่เก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลซึ่งเป็นผลลัพธ์สุดท้าย - ทำหน้าที่เก็บชุดคำสั่งต่างๆ ขณะที่เรากำลังทำงานอยู่กับเครื่อง เพื่อใช้ในการประมวลผล - เป็นหน่วยความจำที่เก็บข้อมูลหรือโปรแกรมไว้ชั่วคราว สร้างขึ้นเพื่อผู้ใช้โดยตรง - สามารถอ่านหรือเขียนทับข้อมูลลงไปได้ตามต้องการ ถ้าไฟดับข้อมูลจะสูญหาย - การเข้าถึงข้อมูลเป็นแบบสุ่ม
หน่วยความจำสำรอง (Secondary Memory)
หน่วยความจำสำรอง เป็นหน่วยความจำที่ใช้เก็บข้อมูล และโปรแกรมที่ต้องการใช้งานในคราวต่อไปได้ ซึ่งสามารถบรรจุข้อมูลและโปรแกรมได้เป็นจำนวนมาก
อุปกรณ์ที่เป็นหน่วยความจำสำรอง ได้แก่
จานแม่เหล็ก (Magnetic Disk) ฮาร์ดิสก์จานแม่เหล็กสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง (Direct Access) ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ และฟล็อปปี้ดิสก์
เทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape) สามารถบันทึกและเข้าถึงข้อมูลแบบเรียงลำดับ (Sequential Access) การบันทึกทำโดยสร้างสนามแม่เหล็กลงบนเนื้อเทป
จานแสง (Optical Disk) เครื่องอ่านแผ่นซีดี (CD-ROM Drive)เป็นสื่อที่ใช้บันทึกข้อมูลได้ปริมาณมากสามารถอ่านและบันทึกข้อมูลด้วยแสงเลเซอร์ เช่น CD-ROM (Compact Disc Read-Only Memory) มีความจุข้อมูลสูงมาก ตั้งแต่ 650 เมกะไบท์ (MB) สามารถอ่านข้อมูลได้อย่างเดียว แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้
หน่วยแสดงผล (Output Unit)
หน่วยแสดงผล คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล
การแสดงผลลัพธ์ แบ่งเป็น 2 แบบ
แสดงผลทางบนจอภาพ การแสดงผลทางจอภาพ เรียกได้อีกอย่างว่าเป็น Soft Copy คือ จะแสดงผลลัพธ์ขณะที่มีกระแสไฟฟ้าอยู่ อุปกรณ์คือ จอภาพคอมพิวเตอร์ทั่วไป ซึ่งภาพบนจอประกอบด้วยจุดหรือ pixel หลายๆ pixel สามารถแสดงผลความละเอียดได้หลายระดับ เช่น 640 * 480 จุด , 800 * 600 จุด , 1024 * 786 จุด
แสดงผลทางเครื่องพิมพ์ การแสดงผลทางจอภาพ หรือเรียกได้อีกอย่างว่าเป็น Hard Copy คือ สามารถแสดงผลลัพธ์คงทนอยู่นาน ไม่ต้องใช้กระแสไฟฟ้าเลี้ยง อุปกรณ์ที่ใช้ คือ Printer

ประเภทของคอมพิวเตอร์



เขียนโดย ครูวีระชน
จันทร์, 10 สิงหาคม 2009
จากประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์ จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาก ทำให้ปัจจุบันมีเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เลือกใช้มากมายหลายรูปแบบตามความต้องการของผู้ใช้
การแบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์นั้น สามารถจำแนกออกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้
ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามหลักการประมวลผล
ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน
ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามความสามารถของระบบ


ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามหลักการประมวลผล
จำแนกได้เป็น 3 ประเภท คือ
คอมพิวเตอร์แบบแอนะล็อก (Analog Computer)
หมายถึง เครื่องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัยหลักการวัด (Measuring Principle) ทำงานโดยใช้ข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบต่อเนื่อง (Continuous Data) แสดงออกมาในลักษณะสัญญาณที่เรียกว่า Analog Signal เครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทนี้มักแสดงผลด้วยสเกลหน้าปัทม์ และเข็มชี้ เช่น การวัดค่าความยาว โดยเปรียบเทียบกับสเกลบนไม้บรรทัด การวัดค่าความร้อนจากการขยายตัวของปรอทเปรียบเทียบกับสเกลข้างหลอดแก้ว
นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของ Analog Computer ที่ใช้การประมวลผลแบบเป็นขั้นตอน เช่น เครื่องวัดปริมาณการใช้น้ำด้วยมาตรวัดน้ำ ที่เปลี่ยนการไหลของน้ำให้เป็นตัวเลขแสดงปริมาณ อุปกรณ์วัดความเร็วของรถยนต์ในลักษณะเข็มชี้ หรือเครื่องตรวจคลื่ยสมองที่แสดงผลเป็นรูปกราฟ เป็นต้น
คอมพิวเตอร์แบบดิจิทัล (Digital Computer)
ซึ่งก็คือคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการทำงานทั่วๆ ไปนั่นเอง เป็นเครื่องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัยหลักการนับ ทำงานกับข้อมูลที่มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete Data) ในลักษณะของสัญญาณไฟฟ้า หรือ Digital Signal อาศัยการนับสัญญาณข้อมูลที่เป็นจังหวะด้วยตัวนับ (Counter) ภายใต้ระบบฐานเวลา (Clock Time) มาตรฐาน ทำให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าเชื่อถือ ทั้งสามารถนับข้อมูลให้ค่าความละเอียดสูง เช่นแสดงผลลัพธ์เป็นทศนิยมได้หลายตำแหน่ง เป็นต้น
เนื่องจาก Digital Computer ต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นสัญญาณไฟฟ้า (มนุษย์สัมผัสไม่ได้) ทำให้ไม่สามารถรับข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต้นทางได้โดยตรง จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนข้อมูลต้นทางที่รับเข้า (Analog Signal) เป็นสัญญาณไฟฟ้า (Digital Signal) เสียก่อน เมื่อประมวลผลเรียบร้อยแล้วจึงเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้ากลับไปเป็น Analog Signal เพื่อสื่อความหมายกับมนุษย์ต่อไป
โดยส่วนประกอบสำคัญที่เรียกว่า ตัวเปลี่ยนสัญญาณข้อมูล (Converter) คอยทำหน้าที่ในการเปลี่ยนรูปแบบของสัญญาณข้อมูล ระหว่าง Digital Signal กับ Analog Signal
คอมพิวเตอร์แบบลูกผสม (Hybrid Computer)
เครื่องประมวลผลข้อมูลที่อาศัยเทคนิคการทำงานแบบผสมผสาน ระหว่าง Analog Computer และ Digital Computer โดยทั่วไปมักใช้ในงานเฉพาะกิจ โดยเฉพาะงานด้านวิทยาศาสตร์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ในยานอวกาศ ที่ใช้ Analog Computer ควบคุมการหมุนของตัวยาน และใช้ Digital Computer ในการคำนวณระยะทาง เป็นต้น
การทำงานแบบผสมผสานของคอมพิวเตอร์ชนิดนี้ ยังคงจำเป็นต้องอาศัยตัวเปลี่ยนสัญญาณ (Converter) เช่นเดิม
ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน


จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่องานเฉพาะกิจ (Special Purpose Computer)
หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่ถูกออกแบบตัวเครื่องและโปรแกรมควบคุม ให้ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะ (Inflexible) โดยทั่วไปมักใช้ในงานควบคุม หรืองานอุตสาหกรรมที่เน้นการประมวลผลแบบรวดเร็ว เช่นเครื่องคอมพิวเตอร์ควบคุมสัญญาณไฟจราจร คอมพิวเตอร์ควบคุมลิฟท์ หรือคอมพิวเตอร์ควบคุมระบบอัตโนมัติในรถยนต์ เป็นต้น
เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่องานอเนกประสงค์ (General Purpose Computer)
หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีความยืดหยุ่นในการทำงาน (Flexible) โดยได้รับการออกแบบให้สามารถประยุกต์ใช้ในงานประเภทต่างๆ ได้โดยสะดวก โดยระบบจะทำงานตามคำสั่งในโปรแกรมที่เขียนขึ้นมา และเมื่อผู้ใช้ต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานอะไร ก็เพียงแต่ออกคำสั่งเรียกโปรแกรมที่เหมาะสมเข้ามาใช้งาน โดยเราสามารถเก็บโปรแกรมไว้หลายโปรแกรมในเครื่องเดียวกันได้ เช่น ในขณะหนึ่งเราอาจใช้เครื่องนี้ในงานประมวลผลเกี่ยวกับระบบบัญชี และในขณะหนึ่งก็สามารถใช้ในการออกเช็คเงินเดือนได้ เป็นต้น


ประเภทของคอมพิวเตอร์ตามความสามารถของระบบ

จำแนกออกได้เป็น 4 ชนิด โดยพิจารณาจาก ความสามารถในการเก็บข้อมูล และ ความเร็วในการประมวลผล เป็นหลัก ดังนี้
ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer)
หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีความสามารถในการประมวลผลสูงที่สุด โดยทั่วไปสร้างขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่องานด้านวิทยาศาสตร์ที่ต้องการการประมวลผลซับซ้อน และต้องการความเร็วสูง เช่น งานวิจัยขีปนาวุธ งานโครงการอวกาศสหรัฐ (NASA) งานสื่อสารดาวเทียม หรืองานพยากรณ์อากาศ เป็นต้น
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer)
หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลที่มีส่วนความจำและความเร็วน้อยลง สามารถใช้ข้อมูลและคำสั่งของเครื่องรุ่นอื่นในตระกูล (Family) เดียวกันได้ โดยไม่ต้องดัดแปลงแก้ไขใดๆ นอกจากนั้นยังสามารถทำงานในระบบเครือข่าย (Network) ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ที่เรียกว่า เครื่องปลายทาง (Terminal) จำนวนมากได้ สามารถทำงานได้พร้อมกันหลายงาน (Multi Tasking) และใช้งานได้พร้อมกันหลายคน (Multi User) ปกติเครื่องชนิดนี้นิยมใช้ในธุรกิจขนาดใหญ่ มีราคาตั้งแต่สิบล้านบาทไปจนถึงหลายร้อยล้านบาท ตัวอย่างของเครื่องเมนเฟรมที่ใช้กันแพร่หลายก็คือ คอมพิวเตอร์ของธนาคารที่เชื่อมต่อไปยังตู้ ATM และสาขาของธนาคารทั่วประเทศนั่นเอง
มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer)
ธุรกิจและหน่วยงานที่มีขนาดเล็กไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ขนาดเมนเฟรมซึ่งมีราคาแพง ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์จึงพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีขนาดเล็กและมีราคาถูกลง เรียกว่า เครื่องมินิคอมพิวเตอร์ โดยมีลักษณะพิเศษในการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ประกอบรอบข้างที่มีความเร็วสูงได้ มีการใช้แผ่นจานแม่เหล็กความจุสูงชนิดแข็ง (Harddisk) ในการเก็บรักษาข้อมูล สามารถอ่านเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว หน่วยงานและบริษัทที่ใช้คอมพิวเตอร์ขนาดนี้ ได้แก่ กรม กอง มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
ไมโครคอมพิวเตอร์ (Micro Computer)
หมายถึง เครื่องประมวลผลข้อมูลขนาดเล็ก มีส่วนของหน่วยความจำและความเร็วในการประมวลผลน้อยที่สุด สามารถใช้งานได้ด้วยคนเดียว จึงมักถูกเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer : PC)
ปัจจุบัน ไมโครคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพสูงกว่าในสมัยก่อนมาก อาจเท่ากับหรือมากกว่าเครื่องเมนเฟรมในยุคก่อน นอกจากนั้นยังราคาถูกลงมาก ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมใช้มาก ทั้งตามหน่วยงานและบริษัทห้างร้าน ตลอดจนตามโรงเรียน สถานศึกษา และบ้านเรือน บริษัทที่ผลิตไมโครคอมพิวเตอร์ออกจำหน่ายจนประสบความสำเร็จเป็นบริษัทแรก คือ บริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์
เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ จำแนกออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
แบบติดตั้งใช้งานอยู่กับที่บนโต๊ะทำงาน (Desktop Computer)
แบบเคลื่อนย้ายได้ (Portable Computer) สามารถพกพาติดตัว อาศัยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จากภายนอก ส่วนใหญ่มักเรียกตามลักษณะของการใช้งานว่า Laptop Computer หรือ Notebook Computer

ผักผลไม้ 7 อย่าง ที่คุณผู้หญิงไม่ควรพลาด


เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุกวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้
ลูกพรุน (Prunes)ลูกพรุนเป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผู้หญิงเราเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิต คือวัยยี่สิบห้า ร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆมากมาย ใบหน้าที่เคยอวบอิ่มด้วยเลือดฝาดก็เริ่มหมองคล้ำผิวพรรณจะเป็นสีชมพู- ระเรื่อหรือซีดโทรม เกิดได้หลายสาเหตุ เช่นผิวมีความหนามากขึ้นตามวัยจนมองไม่เห็น เลือดฝาด หรือเลือดไม่มีให้ฝาดคือเป็นโรคโลหิตจางนั่นเองพรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอางดูเป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด ลองรับประทานลูกพรุนสดๆ หรือลูกพลัมดูสิค่ะไม่เลวเลยทีเดียว
ถั่วผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม“ถั่วช่วยคุณได้ค่ะ”ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ ( ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย )ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรีที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก
บรอคโคลี่เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลายเพราะบรอค-โคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติซึ่งเจ้าตัวซีลีเนียมนี้แหละค่ะ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ ( ซีลี-เนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว ) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย
กล้วยไข่กล้วยทุกชนิดดีต่อสุขภาพแต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดีคือเบต้าแคโรทีนโดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้วความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ ขณะนั้นเองมีสองสิ่งที่สำคัญเกิดขี้นในร่างกายของเรา ซึ่งก็คือ สิ่งแรก เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้นสิ่งที่สองความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆพร้อมกันนั้นความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระ ( Detoxification )ก็ลดลงอย่างน่าตกใจเช่นกันดังนั้น กลยุทธ์ที่คุณจะสู้กับความแก่ด้วยตนเองก็คือคุณต้องรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระให้มากซึ่งสารนี้เรารู้จักในชื่อที่ เรียกว่า แอนตี้ออกซิแดนท์( Antioxidants )ซึ่งในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม
ฝรั่งคุณผู้หญิงทั้งหลายทราบหรือไม่คะว่าฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เองที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆน่าจะลองหันมารับประทานฝรั่งเป็นประจำนะคะ
แอปเปิ้ลมีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ “เพคติน”แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว “เพคติน”นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอลหากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 %ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นความอยากอาหารจึงลดลงทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิด หรือ อ่อนเพลีย แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวันช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลจากการวิจัยชี้ว่าเมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมันและแยกโคเลส-เตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ลจะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้นและพาไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกาย
ส้มแหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรม-ชาติการรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็วเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะนอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วยนะคะผักและผลไม้ทั้ง 7ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นสำหรับคุณๆผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้วผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกาจึงได้แนะนำขนาด-ในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทานรวมกันให้ได้วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆทั้งหลายมีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวนค่ะ

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้รอบตัว

1.
ไข่ขาวสามารถใช้รักษาแผลน้ำร้อนลวกได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยใช้ไข่ขาว มาทาที่น้ำร้อนลวกให้ทั่วทิ้งไว้จนแห้ง ไปเอง แล้วรอสักพักใหญ่ๆ จึงล้างออกจะไม่มีรอยแดง หรือพองเลย ข้อสำคัญ ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้ถูกน้ำเย็นหรือของอื่นเลย และอย่าไปแกะ หรือเกาตอนที่ใกล้จะแห้ง เพราะจะทำให้หนังถลอก
2.
ยาหม่องสามารถใช้ขจัดหมากฝรั่งเปื้อนผ้าได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการใช้ยาหม่องถูตรงยางเหนียวๆ ของหมากฝรั่งไปมา ไม่นานยางของหมากฝรั่งก็จะหลุดออกหมด แล้วจึงนำผ้าไปซักตามปกติ
3.
ใส่หลอดในขวดซอสมะเขือเทศจะทำให้เทออกง่าย จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการใส่หลอดลงไปให้ลึกถึงก้นขวด เพื่อให้อากาศสามารถแทรกผ่าน เข้าไปในขวดได้ แล้วเทซอสมะเขือเทศ ก็จะไหลออกมาง่ายขึ้น
4.
ถุงน่องแช่น้ำเกลือช่วยให้ถุงน่องไม่ขาดง่าย จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการนำเกลือ 2 ถ้วยผสมกับน้ำ 1 แกลอน แช่ถุงน่องใหม่ไว้นาน 3 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ยกถุงน่องขึ้น มาตากให้น้ำหยดจนแห้ง ก็จะทำให้ถุงน่องคงสภาพ และเหนียวทนนาน
5.
มันฝรั่งกำจัดกลิ่นปลาร้าติดมือได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่มันฝรั่งสามารถกำจัดกลิ่นหัวหอมติดมือได้ โดยการนำมันฝรั่งที่ปอกแล้ว มาถูมือที่มีกลิ่นหัวหอมติดอยู่ กลิ่นหัวหอมก็จะค่อยๆ จางหายไป
6.
พริกแห้งใช้ไล่แมลงวันได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เวลาตากของแห้งไว้ จะมีแมลงวันมาตอม ให้เอาพริกแห้ง 5 - 6 เม็ด เสียบไว้รอบกระด้ง ไอร้อนของพริก จะทำให้แมลงวันไม่กล้าเข้าใกล้
7.
เบียร์ช่วยคลายเกลียวขึ้นสนิมได้

เฉลย
จริง ให้รินเบียร์ลงไปบนเกลียวขึ้นสนิมนิดหน่อย รอ 2-3 นาที ความเป็นกรดของเบียร์ จะช่วยขจัดสิ่งสกปรก และเศษสนิม ทำให้เกลียวหมุนเปิดได้ง่ายขึ้น
8.
เอาผ้าไหมแช่ช่องแข็งจะทำให้รีดง่าย จริงหรือ

เฉลย
จริง การรีดผ้าไหม ควรใช้ไฟอ่อนๆ เพราะผ้าไหมจะไหม้เกลียม หรือเป็นสีเหลืองได้ง่าย แต่ถ้าผ้าไหมยับมาก ก่อนรีดควรฉีดพรมน้ำยาให้ทั่ว แล้วพับใส่ถุงพลาสติก นำไปแช่ในช่องแข็งของตู้เย็น ประมาณ 10 -15 นาที แล้วจึงนำออกมารีด จะทำให้รีดผ้าไหมได้ง่าย และเรียบยิ่งขึ้น
9.
นำเหรียญสลึงใส่แจกันช่วยให้ดอกไม้ไม่เหี่ยวเฉาได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยให้หย่อนเหรียญสลึงลงไปในแจกัน ส่วนผสมที่เป็นทองแดงในเหรียญ จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ดอกไม้เหี่ยวเฉา
10.
ใบฝรั่งช่วยดูดกลิ่นได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยให้นำใบฝรั่งมาตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ แยกกากใบออก น้ำมันหอมระเหยที่ได้ จะทำหน้าที่ดับกลิ่น ส่วนกากใบที่ได้ให้นำไปวางไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อช่วยดูดกลิ่นได้

ชุดคำถามที่ 2 หมวดกินเพื่อสุขภาพ

1.
กินน้ำมะนาวปั่นสามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา ทำให้อาการเมาหายไปได้
2.
เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้
3.
มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่า โรคนอนหลับ ได้อีกด้วย
4.
ดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่การดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น เพราะนมร้อนจะส่งเสริมให้สมองหลั่งสาร
5.
การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง
6.
การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะในเนยมี กรดอมิโน ที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น
7.
กินส้มช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเองจะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมาด้วย
8.
การกินช็อคโกแล๊ตช่วยแก้ไอได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ โกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล
9.
การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ การที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้ และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอยู่มากอีกด้วย
10.
การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ เลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหาร ไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง สมองจึงค่อยๆ เสื่อม

ชุดคำถามที่ 3 หมวดรู้ไว้ใช่ว่า

1.
การแลบลิ้นให้น้ำลายยืดลงพื้น 3 หยดจะแก้เผ็ดได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง อาการเผ็ดเกิดจากสารที่ชื่อ แคปไซซิน ที่อยู่ในพริกเข้าไปจับกับปลายประสาทรับรถที่ลิ้น ร่างกายจะก็จะแสดงปฎิกริยาโดบขับน้ำลายออกมาชะล้างเอาเจ้าสารนี้ออกไป
2.
ดูดนมยางของเด็กทารกตอนนอนจะแก้อาการนอนกรนได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง การคาบหรืออมนายางของเด็กทารกไว้ในปากจะทำให้ลิ้นในปากอยู่นิ่ง ก็จะพลอยให้เนื้อเยื่อของเพดานไม่กระเทือนสั่นไหวขึ้นจึงไม่เกิดอาการกรน และไม่นอนอ้าปากอีกด้วย
3.
การสูดกลิ่นตัวผู้ชายทำให้หายเครียดได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะกลิ่นตัวผู้ชายที่เป็นคนรักนั้นมีสาร ฟีโรโมน ผสมอยู่โดยเฉพาะในผมและผิวของเขา เมื่อสูดดมแล้วจะช่วยลดอาการเครียดและเหนื่อยล้าลงได้
4.
แอปเปิ้ลผลิตกระแสไฟฟ้าได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง ถ้าเสียบแผ่นสังกะสี และแผ่นทองแดง กรดในแอปเปิ้ลจะทำให้เกิดการแตกตัวของไอออน ทำให้ลูกแอปเปิ้ลเป็นเหมือนแบตเตอรี่ ซึ่งผลไม้ชนิดอื่นเช่น มะนาว เกรป ฟรุ๊ต หรือมันฝรั่ง ก็ทำได้เช่นกัน
5.
ปัสสาวะมนุษย์ใช้ทำยาสีฟันในสมัยโบราณ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยแพทย์ชาวโรมันเชื่อว่า ปัสสาวะมนุษย์ มีคุณสมบัติทำให้ฟันขาว และแข็งแรง ยาสีฟันในยุคดังกล่าว จึงเป็น น้ำยาบ้วนปากที่ทำจากปัสสาวะมนุษย์
6.
วัวกระทิงเกลียดสีแดง จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง เพราะ วัวเป็นสัตว์ตาบอดสี ไม่สามารถแยกแยะสีต่างๆ ได้ แต่การที่วัวเมื่อถูกล่อด้วยผ้าแดงเหมือนในสนามสู้วัว แล้วก็พุ่งเข้าใส่นั้น เป็นเพราะความรำคาญ และเพราะถูกยั่วยุมากกว่า
7.
เพชรแท้จะไม่ติดสีหมึก จริงหรือ

เฉลย
จริง การทดสอบดูเพชรแท้นั้น ให้ป้ายน้ำหมึกสีดำไปบนเพชร ถ้ามีความลื่นออก ไม่ติดอยู่บนเพชร แสดงว่าเป็นเพชรแท้ แต่ถ้ายังมีจุดดำตรงที่แต้มอยู่ ก็แสดงว่าเป็นเพชรเทียม
8.
การทะเลาะกันทำให้แผลหายช้า จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ ความเครียดที่เกิดขึ้น ทั้งระหว่าง และหลังจากการทะเลาะกัน จะส่งผลให้ร่างกายลดการผลิตโปรตีนเม็ดเลือด ที่มีประโยชน์ต่อการรักษาบาดแผล หรือส่วนที่สึกหรอในร่างกายให้น้อยลง ทำให้บาดแผลต่างๆ หายช้า
9.
แสงแดดอ่อนๆ ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ แสงแดดอ่อนๆ จะช่วยลดการสร้างฮอร์โมนเมลาโตนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ ถ้าหากเก็บตัวอยู่แต่ในที่มืดจะทำให้ฮอร์โมนตัวนี้สูงขึ้น และอาจส่งผลให้เกิดการง่วง เหงา ซึมเซา ได้
10.
การฟังเพลงช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ การฟังเพลงทำให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนสร้างความสุขออกมา ช่วยลดความดันโลหิต และบรรเทาอาการปวดข้อลงได้

ชุดคำถามที่ 4 หมวดความสวยความงาม

1.
กินหวานมากทำให้ผิวเหี่ยว จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ เมื่อร่างกายมีน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดมากเกินไป มันจะไปเกาะติดกับเส้นใยโปรตีนที่อยู่ระหว่างเซลล์ผิว ทำให้เกิดภาวะผิวเครียดขึ้น และนำไปสู่อาการแก่ก่อนวัย ผิวหยาบกร้าน และเหี่ยวย่นในที่สุด
2.
การยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้าจะทำให้ผิวหน้าดูสดใส จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆค้างไว้นับ 1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นจะทำให้โลหิตบริเวณหนังศีรษะ และใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลกระทบให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้น
3.
เอาน้ำแข็งถูหน้าก่อนนอนจะทำให้หายมันได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่แก้ปัญหาหน้ามันได้โดยการ ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาหน้าให้ทั่วใบหน้า ทาแล้วไม่ต้องล้างออก น้ำเมือกจะแห้งไปเองภายใน ๕ - ๑๐ นาที ทำก่อนนอน แค่นี่หน้าก็จะหาย
4.
การสวมเสื้อผ้าหนาๆ เพื่อให้เหงื่อออกเยอะๆ จะทำให้ผอมเร็วจริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง การที่เหงื่อออกเยอะคือ ภาวะที่ร่างกายโดนความร้อนแล้วระบายความร้อนออกมา ไม่ใช่การเผาผลาญไขมันออกมา เพราะฉะนั้นพอเราดื่มน้ำเข้าไป น้ำหนักก็จะเท่าเดิม
5.
คนผิวแห้งมีโอกาสเกิดริ้วรอยกว่าคนผิวมัน จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะคนผิวแห้งขาด ซีบัม หรือสารไขมัน ทำให้กลไกลการปกป้องตนเองของผิวหนังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นคนผิวแห้งควรดูแล และทาครีมบำรุงเพื่อความชุ่มชื่นแก่ผิวพิเศษกว่าคนผิวมัน
6.
การฝึกกลั้นหายใจสามารถชะลอหน้าแก่ก่อนวัยได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง โดยการหายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึงหายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 ครั้งๆ ละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวแก่ก่อนวัย และรอยคล้ำ ได้
7.
การร้องไห้ช่วยลดความอ้วนได้ จริงหรือ

เฉลย
ไม่จริง แต่การหัวเราะต่างหากที่ช่วยเผาผลาญแคลอรีให้หมดไปได้ดีกว่าอยู่เฉยๆ ได้มากถึง 20% ซึ่งหากได้หัวเราะวันละสัก 10 -15 นาที จะช่วยเผาผลาญพลังงานลงได้มากถึง 50 แคลอรี
8.
กาวตราช้างใช้รักษาส้นเท้าแตกได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ เมื่อปิดหนังที่แตกด้วยกาวตราช้าง สิ่งสกปรกจะเข้าไปในรอยแตกไม่ได้ ผิวจะไม่ ถูกรบกวน จึงมีการซ่อมแซมตนเองขึ้นมา มีการสร้างเซลล์ใหม่ และผลัดเซลล์เก่าออก กาวช้างก็จะหลุดออกไป แต่ห้ามใช้กับคนที่แพ้กาวตราช้าง
9.
การเต้นรำทำให้ผิวสวยได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ การเต้นรำเพียงวันละ 20 นาที ช่วยเผาผลาญแคลอรี กระตุ้นระบบการหายใจ และระบบหมุนเวียนโลหิต ทำให้เลือดลมเดินทั่วผิว ทำให้ผิวสวยมีสุขภาพดี
10.
การใส่กระโปรงสั้นในห้องแอร์เป็นประจำทำให้ขาใหญ่ได้ จริงหรือ

เฉลย
จริง เพราะ ช่วงขาส่วนที่อยู่นอกกระโปรงจะเกิดการสะสมไขมันเป็นพิเศษ เพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศ โดยเฉพาะเมื่อผิวหนังเจอความหนาวเย็น ทำให้เกิดเซลลูไลท์ขึ้นจนทำให้ขาใหญ่ ถ้าหากจำเป็นต้องใส่กระโปรงสั้นจริงๆ ควรใส่ถุงน่องเพื่อเพิ่มความอบอุ่น

คลื่นโทรศัพท์มือถือมีผลต่อร่างกายมนุษย์

โดยเฉพาะเซลล์สมองและเซลล์สืบพันธุ์
Amazing Cell Phone คลื่นแรงขนาดนี้ ตอนก่อน ผม คุยมือถือนานๆแล้วปวดหัวมากๆ ยิ่งช่วงทำคะแนนสวีทใหม่ๆ คุยที 4 ชั่วโมง บางที ตั้งก่ะ 5 ทุ่ม ไปจบที่ ตี 5 ก็เคยมาแล้ว เหอๆ หลังๆ จีบติดแล้ว ถึงคุยมือถือน้อยลง ค่อยยังชั่วขึ้นเยอะ ลองทดสอบกันดูครับ ว่า คลื่นมือถือ ของไทย จะแรงขนาดในคลิปหรือเปล่า มหันตภัยมือถือ'โทร.นาน' AIS-DTACสะเทือน ผลวิจิยชี้ชัด'อัลไซเมอร์-มะเร็ง-หัวใจวาย' เตือนวัยรุ่นเกิดโรค"อัลไซเมอร์" ใช้มือถือเกินวันละ2ชม.สารพัดโรค กระทรวงวิทยาศาสตร์ - แฉมหันตภัย"มือถือ" ลูกค้า 30 ล้านคนยังไม่รู้ นักวิจัยชี้คลื่นมือถือมีผลต่อสมอง เซลล์สืบพันธุ์ ก่อให้เกิดสารพัดโรค "หัวใจวาย-มะเร็ง-เป็นหมัน" เตือนวัยจ๊าบชอบเม้าท์แหลก ผลทดลอง GSM ระบุโทร.เกินวันละ 2 ชั่วโมงเสี่ยงเป็น"อัลไซเมอร์"ก่อนวัยสูงอายุ เผยอันตรายเด็กเล็กพูดมือถือคลื่นรังสีจะทำลายเซลล์สมองโดยพ่อแม่ไม่รู้ตัว ขณะที่ย่านชุมชนติดตั้งเสารับ-ส่งสัญญาณมือถือก็มีความเสี่ยงไม่แพ้กัน ด้านนักวิชาการสุมหัวพิสูจน์ภัยมืดก่อนชงรัฐบาลออกมาตรการคุมเข้มความแรงของคลื่นมือถือ โทรศัพท์มือถือเครื่องมือสื่อสารยุคไฮเทค กลายเป็นปัจจัย 5 ที่คนไทยทุกคนต่างเสาะหามาเป็นเจ้าของ ทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่องาน มีไว้เพื่อติดต่อกับคนรู้จักง่ายขึ้น หรือวัยรุ่นอินเทรนด์ตามแฟชั่นเพื่ออวดเพื่อนๆ จนทำให้ยอดขายมือถือแต่ละปีเติบโตแบบก้าวกระโดด ปี 2547 คาดว่ายอดลูกค้าจะพุ่งพรวดเป็น 30 ล้านคน ขณะที่คนไทยนิยมใช้มือถือกันชนิดติดกันงอมแงม แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าการใช้โทรศัพท์มือถือก็มีมหันตภัยร้ายแรงชนิดที่คาดไม่ถึงทีเดียว โดยนักวิจัยพบว่า คลื่นมือถือก่อให้เกิดโรคสารพัด เช่น อัลไซเมอร์ เป็นหมัน มะเร็ง โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ใช้มือถือคุยกันนานเกินวันละ 2 ชั่วโมงมีอัตราความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคขี้หลงขี้ลืมก่อนวัยอันควร ถ้าเป็นเด็กเล็กไม่ควรใช้มือถือเลยเพราะคลื่นดังกล่าวจะทำลายเซลล์สมอง ขณะที่ย่านชุมชนที่เป็นสถานที่ติดตั้งสถานีรับ-ส่งสัญญาณมือถือก็มีความเสี่ยงไม่แพ้กัน ชี้มหันตภัย"คลื่น-เสา"มือถือ ดร.ประไพภัทร คลังทรัพย์ นักวิชาการฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผย "สยามธุรกิจ"ว่าขณะนี้ตนและนักวิจัยของไทยหลายคนมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับอันตรายจากการใช้โทรศัพท์มือถือ เนื่องจากพบว่าปริมาณความต้องการใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นอย่างเนื่องในแต่ละปี ขณะที่ผลงานวิจัยในหลายประเทศได้ระบุชัดเจนว่าคลื่นโทรศัพท์มือถือมีผลต่อร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะเซลล์สมองและเซลล์สืบพันธุ์เพราะมีความไวต่อการรับความรู้สึก หากได้รับคลื่งดังกล่าวมากเกินไปอาจส่งผลก่อให้เกิดโรคอันไซเมอร์ และเป็นหมันได้ ดร.ประไพภัทร กล่าวว่า แม้ว่าปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการวิจัยอย่างจริงจัง และไม่มีผลการวิจัยออกมาระบุชัดเจนว่า คลื่นมือถือมีผลต่อร่างกายอย่างไร แต่จากการที่ตนสนใจในเรื่องดังกล่าวและได้เก็บข้อมูลผลการวิจัยและเห็นว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากมือถือเป็นสิ่งที่ต้องค้นคว้าและจะต้องนำไปสู่การวิจัยอย่างจริงจัง เพราะจากการสังเกตเวลาโทรศัทพ์มือถือมีสายเข้า จะเห็นอานุภาพของคลื่นมือถือที่น่ากลัวมากเช่น กรณีวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้กับจอคอมพิวเตอร์ ในระยะที่ห่างกันตามลำดับจะส่งผลให้หน้าจอคอมพิวเตอร์เกิดความแรงของการสั่นแตกต่างกัน นอกจากนี้ ถ้าสังเกตให้ดีที่จอคอมพิวเตอร์จะมีภาพสั่นไหวก่อนที่จะได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือหรือแม้กระทั่งเวลานำเทปไปบันทึกเสียงในขณะที่บันทึกเสียงไว้หากมีโทรศัพท์แทรกเข้ามาจะทำให้เสียงที่บันทึกไว้ในขณะนั้นถูกรบกวนโดยไม่ได้ยินเสียงที่บันทึกไว้เลย ดังนั้น คลื่นมือถือมีสัญญาณส่งสูงมากสามารถทะลุทะลวงได้เป็นอย่างดีไม่ว่ากรณีใดๆ ตามโรงพยาบาลต่างๆ หรือบนเครื่องบินจึงห้ามไม่ให้เปิดมือถือ เพราะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะไปรบกวนระบบการทำงานอิเล็กทรอนิกส์ ก่อให้เกิดอันตรายกับผู้ป่วยได้ ดร.ประไพภัทร กล่าวว่า นอกจากอันตรายจากมือถือแล้ว สิ่งที่น่ากังวลและเป็นอันตรายไม่แพ้กันอีกประการหนึ่งคือ สถานีรับ-ส่งสัญาญาณโทรศัพท์มือถือ ที่ตั้งอยู่ทั่วไปตามอาคาร ย่านชุมชน ซึ่งสถานีดังกล่าวรับ-ส่งด้วยสัญญาณแรงมากกว่าตัวโทรศัพท์มือถือหลายเท่า ขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีการออกมาตรการควบคุมพื้นที่ในการติดตั้งสถานีส่งสัญญาณ ที่สำคัญเป็นความบกพร่องหรือรู้เท่าไม่ถึงการของผู้ประกอบการที่ได้ติดตั้งสถานีรับ-ส่งสัญญาณมือถือในชุมชนเมือง ทั้งที่จริงแล้วไม่ดำเนินการตั้งตั้งในย่านชุมชนอย่างยิ่ง เพราะคลื่นความแรงของสถานีอาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายคนได้ชนิดไม่รู้ตัวมากกว่าโทรศัพท์มือถืออีกด้วย ระวัง!ใช้"GSM"เป็นอัลไซเมอร์ ส่วนในร่างกายของคนทั่วไปพบว่าเมื่อใช้โทรศัพท์มือถือต่อเนื่องเป็นเวลานานประมาณครึ่ง ชั่วโมง บางคนอาจจะรู้สึกมึนศีรษะ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่ามาจากสาเหตุอะไร ทำให้นักวิจัยจำนวนมาก เช่น นักวิจัยประเทศฟิลแลนด์ได้นำเซลล์มองมนุษย์ทดลองเลี้ยงไว้ในหลอดวิทยาศาสตร์ และให้สัมผัสกับคลื่นโทรศัพท์มือเพื่อดูความผิดปกติของเซลล์สมองปรากฎว่า พบความผิดปกติที่มีผลต่อหลอดเลือดสมอง โดยคลื่นวิทยุมือถือทำปฎิกิริยาต่อการหดตัวและทำลายเนื้อเยื่อและช่องว่างของคลื่นสมองจึงทำให้เซลล์สมองบางส่วนถูกทำลาย ด้านงานวิจัยในประเทศสวีเดนได้มีการเผยแพร่สู่สาธารณชนไปเมื่อประมานต้นปี 2546 มีการนำหนูมาเป็นตัวทดลอง โดยการออกแบบกรงพิเศษให้หนูอยู่แล้วใช้คลื่นโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ GSM กำหนดค่าความเข้มของคลื่นโทรศัพท์มือถือที่ใช้ทดลองกับหนูให้มีค่าต่ำกว่าการใช้กับคนเท่ากับ 100 เท่า โดยให้หนูสัมผัสกับคลื่นวันละ 2 ชั่วโมง เป็นเวลา 50 วัน ปรากฎว่าเซลล์สมองถูกทำลายเป็นหย่อมๆ มีผลต่อความทรงจำ หรือที่เรียกว่าโรคอัลไซเมอร์ ผลวิจัยชี้ใช้มือถือนานเป็น"หมัน-มะเร็ง"

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแมลง


มดงานบางพันธุ์สามารถปกคลุมพื้นที่ 14.4 กิโลเมตรในการเดินทางหาอาหารต่างๆ มดงานตัวหนึ่งมีขนาดเล็กกว่ามนุษย์ 1 ในล้านส่วน แต่มดที่มีอยู่หลายหมื่นล้านล้านตัวทั่วโลกมีน้ำหนักมากกว่ามนุษย์ทุกคนในโลกรวมกัน หมัดที่โตเต็มวัยสามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายสัปดาห์โดยที่ไม่ต้องดูดเลือด ราชินีผึ้งตัวหนึ่งจะวางไข่ 4,000 ฟองต่อวันแมลงที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจต่อมนุษย์มากที่สุดคือตัวไหมและผึ้งตัวอ่อนของแมลงวันบางตัวสามารถมีชีวิตอยู่ในแอ่งน้ำมันดิบได้ โดยมันจะกินแมลงที่ตกลงไปในบ่อน้ำมันเป็นอาหาร แมลงมีสัดส่วนประมาณ 3 ใน 4 ของสัตว์ที่มีอยู่ในโลกแมลงสาบเป็นสัตว์ที่แพร่หลายมาตั้งแต่ประมาณ 350 ล้านปีมาแล้ว ตามหลักฐานที่พบจากฟอสซิล


“น้ำตกแองเจล” น้ำตกที่สูงที่สุดในโลก

มารู้จัก “น้ำตกแองเจล” น้ำตกที่สูงที่สุดในโลก กันเถอะ
แปลและเรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอมภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
ใครรู้บ้างน้ำตกที่สูงที่สุดในโลกชื่อว่าอะไร … มีความสูงเท่าไหร่… อยู่ที่ไหน? .. อ่ะ อ่ะ ไม่รู้ใช่ไหมล่ะ? งั้นจะช้าอยู่ใย ไปดูเฉลยดีกว่าค่ะ . . . สำหรับน้ำตกที่ขึ้นชื่อว่าสูงสุดในโลก คือ “น้ำตกแองเจล” มันมีความสูงถึง 3,212 ฟุต (โดยประมาณ) ตั้งอยู่บริเวณประเทศเวเนซูเอลา ทวีปอเมริกาใต้
เดิมทีชาวพื้นเมืองเรียกน้ำตกนี้ว่า ชูรันเมรู (Churun Meru) แต่ปัจจุบันเรียกกันว่า น้ำตกแองเจล (Angel Falls) ตามชื่อผู้ค้นพบคนแรกที่ชื่อว่า เจมส์ ครอว์ฟอร์ด แองเจล นักบินชาวสหรัฐอเมริกาที่บินผ่านเหนือพื้นที่นี้ในปี ค.ศ. 1935 แองเจลได้ลงสู่พื้นดินบนยอดของภูเขาสูง เพื่อค้นหาทองคำ แต่เครื่องบินของเขากลับไปติดในป่ารก ที่เป็นหนองน้ำบนยอดเขา แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดก็ คือ น้ำตกอันแสนสวยงามตระการตา พากันถาโถมดิ่งลงมาสู่พื้นหลายพันฟุต
หลังจากนั้น แองเจลและเพื่อนนักบินอีก 3 คนต้องเดินทางด้วยเท้าถึง 11 วันเพื่อกลับเข้าสู่ตัวเมือง โดยทิ้งเครื่องบินที่ติดอยู่ในป่าไว้เป็นอนุสาวรีย์ แห่งการค้นพบของเขา และปัจจุบันได้ถือเป็นสมบัติประจำชาติของเวเนซูเอลาไปแล้ว อีก 1 ปีต่อมาแองเจลก็ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับครอบครัว คราวนี้เขาได้จอดเครื่องบินบนยอดของน้ำตกเลย หลังจากนั้นผู้คนทั่วโลกก็รับรู้ว่านี่คือ “น้ำตกแองเจล” น้ำตกที่สูงที่สุดในโลก
การมาชมทัศนียภาพอันสวยงาม ของน้ำตกแองเจลแห่งนี้ วิธีที่ดีที่สุดคือ เครื่องบิน ซึ่งท่านจะได้ภาพที่สวยงามและตระการตาของน้ำตก ที่ดิ่งตัวลงสู่พื้นเบื้องล่างที่ลึกสุดลูกหูลูกตา นอกจากนั้นยังสามารถไปเยือนและชมทิวทัศน์บริเวณตอนล่างของน้ำตก ได้โดยนั่งเรือประมาณ 3-4 ชั่วโมง และต่อด้วยการเดินเท้าเข้าป่าอีก 1 ชั่วโมง

สุดในโลกที่ธรรมชาติสร้างขึ้น

ทวีปที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลก....ทวีปเอเชีย มีพื้นที่ 43,938,573 ตารางกิโลเมตรหรือร้อยละ 16.2 % ของพื้นดินทั้งโลกทวีปที่เล็กที่สุดในโลก....ทวีปออสเตรเลีย มีพื้นที 7,682,705 ตารางกิโลเมตรหรือร้อยละ 5.7 % ของพื้นดินทั้งโลกมหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก....มหาสมุทรแปรซิฟิก มีเนื้อที่ 165,760,000 ตารางกิโลเมตรมหาสมุทรที่เล็กที่สุดในโลก....มหาสมุทรอาร์กติก มีเนื้อที่ 14,438,000 ตารางกิโลเมตรบริเวณที่ลึกที่สุดของมหาสมุทร....ร่องลึกมารีนา ในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เขตประเทศฟิลิปปินส์ วัดความลึกได้ 10,934 เมตรทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก....ทะเลจีนใต้ มีเนื้อที่ 2,980,358 ตารางกิโลเมตรทะเลที่เล็กที่สุดในโลก....ทะเลเหลือง มีเนื้อที่ 294,533 ตารางกิโลเมตรทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในโลก....ทะเลสาบแคสเปียน ทางตอนใต้ของรัสเซีย ในทวีปเอเชีย มีเนื้อที่ 371,000 ตารางกิโลเมตร ทะเลสาบแคสเปียนยังเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยทะเลสาบที่ลึกที่สุดในโลก....ทะเลสาบไปคาล เป็นทะเลสาบน้ำจืด อยู่ในเขตไซบีเรียประเทศรัสเซีย จุดที่ลึกที่สุดวัดได้ 1,617 เมตรทะเลสาบที่มีน้ำเค็มที่สุดในโลก....ทะเลสาบเดดซี ตั้งอยู่ระหว่างประเทศอิสราเอลกับจอร์แดนทะเลสาบที่ตั้งอยู่บริเวณที่สูงกว่าทะเลสาบใดๆในโลก....ทะเลสาบกลาเซียล บนที่ราบสูงทิเบต สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,940 เมตร เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก....เกาะกรีนแลนด์ ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เป็นเกาะที่อยู่ในความปกครองของประเทศเดนมาร์กมีพื้นที่ 2,175,333 ตารางกิโลเมตรยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก....ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ บนเทือกเขาหิมาลัยในเขตเนปาลและทิเบต สูงจากระดับน้ำทะเลย 8,848 เมตรภูเขาที่ยาวที่สุดในโลก....ภูเขาแอนดิส ในทวีปอเมริกาใต้มีความยาว 7,564 กิโลเมตรหมู่เกาะที่มีจำนวนเกาะมากที่สุดในโลก....หมู่เกาะอินเดียตะวันออก ที่บริเวณมาเลเซีย อินโดนีเชียและบรูไน มีจำนวนเกาะประมาณ 13,600 เกาะ เกาะที่ใหญ่ที่สุดคือ เกาะนิวกินีแนวหินประการังที่ยาวที่สุดในโลก....แนวหินประการังเกรตแบริเออร์รีฟ ทางชายฝั่งของรัฐควีนแลนด์ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปออสเตรเลีย มีความยาว 2,027 กิโลเมตรแม่น้ำที่กว้างที่สุดในโลก....แม่น้ำแอมะซอน ในบราซิลทวีปอเมริกาใต้ ปากแม่น้ำกว้าง 272 กิโลเมตร มีความยาว 6,400 กิโลเมตร และได้รับฉายาให้เป็น King of The Riverหุบเขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก....แกรน์แคนยอน ที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา มีความยาว 2,012 เมตร และลึกประมาณ 1,524 เมตรหุมเขาที่ลึกที่สุดในโลก....หุบเขาเอลแคนยอนเดอโคลคา ในเปรู มีความลึกประมาณ 3,215 เมตรน้ำตกที่สูงที่สุดในโลก....น้ำตกแองเจล ในเวเนซุเอลา สูง 979 เมตรน้ำตกที่สวยที่สุดในโลก....น้ำตกไนแองการ่า ระหว่างพรมแดนสหรัฐอเมริกากับแคนนาดาน้ำพุร้อนที่พุ่งขี้นสูงที่สุดในโลก....น้ำพุร้อนไวแมนกุ ในนิวซีแลนด์ พุ่งได้สูงถึง 450 เมตรถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก....ถ้ำซาราวัก แซมเบอร์ ในอุทยานแห่งชาติกูนุงมูลู ในรัฐซาราวักประเทศมาเลเซียถ้ำหินปูนที่ยาวที่สุดในโลก....ถ้ำคูเอวาเดอเนอจา ในเมืองมาลากา สเปน มีความยาวประมาณ 60 เมตรภูเขาไปที่ใหญ่ที่สุดในโลก....ภูเขาไฟเมานาลัว บนเกาะฮาวาย สหรัฐอเมริกาภูเขาไฟที่สูงที่สุดในโลก....ภูเขาไฟโอโจสเดลซาลาโด ตั้งอยู่ระหว่างอาร์เจนตินากับชิลี สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 6,877 เมตรภูเขาไฟที่อยู่เหนือสุดของโลก....ภูเขาไฟบีเรนเบิร์ก ในเกาะกรีนแลนด์ทางขั้วโลกเหนือ สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 2,277 เมตรภูเขาไฟที่อยู่ใต้สุดของโลก....ภูเขาไฟอีเรบัส บนเกาะรอสส์ ในทวีปแอนตาร์กติกาที่ขั้วโลกใต้ สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 3,795 เมตรภูเขาไฟที่สวยที่สุดในโลก....ภูเขาไฟฟูจิยามา ที่ญี่ปุ่นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในโลก....ทะเลทรายซาฮารา ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ประมาณ 9,064,965 ตารางกิโลเมตรที่ราบสูงที่สูงและใหญ่ที่สุดในโลก....ที่ราบสูงทิเบต ในเขตประเทศจีน ตอนกลางของทวีปเอเชีย มีพื้นที่ประมาณ 199,422 ตารางกิโลเมตร และสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 4,877 เมตรอ่าวที่ใหญ่ที่สุดในโลก....อ่าวเม็กซิโก ทวีปอเมริกาเหนือ มีพื้นที่ประมาณ 1,510,550 ตารางกิโลเมตรช่องแคบที่ยาวที่สุดในโลก....ช่องแคบตาร์ตาร์ อยู่ระหว่างเกาะซักคาลินกับรัสเซีย มีความยาวประมาณ 805 กิโลเมตรคลองเดินเรือที่ยาวที่สุดในโลก....คลองสุเอช ที่อียิปส์ เป็นคลองที่เชื่อมระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับทะเลแดง มีความยาว 161.9 กิโลเมตร
หนังสือความรู้รอบตัวของสำนักพิมพ์แม็ค
หนังสือความรู้รอบตัวฉบับทันโลกของสำนักพิมพ์เสริมวิทย์บรรณาคาร
หนังสือสิ่งมหัศจรรย์และสถานที่สำคัญของโลกของสำนักพิมพ์

เรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลก


"ในที่สุดหนึ่งในบริษัทผู้ให้บริการเรือสำราญหรูของโลก รอยัล แคลิเบี้ยน ก็ได้ลบสถิติโลกด้วยการเปิดตัวเรือสำราญ หรูหราลำล่าสุดที่ ประกาศว่าเป็นเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลก"ฟรีดอม ออฟ เดอะ ซี" FREEDOM OF THE SEAS "
ฟรีดอม ออฟ เดอะ ซี ...เรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในที่สุดหนึ่งในบริษัทผู้ให้บริการเรือสำราญหรูของโลก รอยัล แคลิเบี้ยน ก็ได้ลบสถิติโลกด้วยการเปิดตัวเรือสำราญ หรูหราลำล่าสุดที่ ประกาศว่าเป็นเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลก"ฟรีดอม ออฟ เดอะ ซี" FREEDOM OF THE SEAS อิสรภาพแห่งท้องทะเลหรือฉายา "ก็อดมาเธอร์" อย่างเป็นทางการท่ามกลางสื่อมวลชนและเอเย่นต์จากทั่วทุกมุมโลกไปแล้ว ที่ประเทศอังกฤษ "ฟรีดอม ออฟ เดอะ ซีส์" (Freedom of the Seas) เรือสำราญขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเพิ่งได้ฤกษ์เปิดตัวลงน้ำอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้เอง หากจะถามว่าใหญ่โตขนาดไหนคงบอกชนิดให้ภาพได้คร่าวๆว่า เธอ (ก็ธรรมเนียมตะวันตกยกให้เรือเป็นเพศหญิงนี่คะ) ทำให้เรือลำอื่นๆกลายเป็น "เรือแคระ"ไปในพริบตา ด้วยความสูง 237 ฟุตซึ่งหากนำมาตั้งบนบกก็จะสูงกว่าหอไอเฟลในกรุงปารีส ความยาวเรือ 1,112 ฟุต น้ำหนัก 158,000 ตัน โถงภายในเรือมีความสูงเท่ากับตึก 14 ชั้น และบนนั้นก็มีดาดฟ้าให้ผู้โดยสารขึ้นไปนั่งๆนอนๆกินลมชมวิวถึง 15 ดาดฟ้าด้วยกัน รอยัล แคริบเบียน ครูซเซส บริษัทเดินเรือเพื่อการท่องเที่ยวและพาณิชย์ ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในเมืองไมอามี่ ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าของเรือยักษ์ดังกล่าว ว่ากันว่าแม้แต่กัปตันเรือเองก็ยังเดินสำรวจได้ไม่ทั่วทุกซอกทุกมุมของเรือลำนี้ด้วยความใหญ่โตมโหฬารของมันนั่นเอง ก่อนที่จะมีการตัดริบบิ้นฟาดขวดแชมเปญปล่อยเรือลงน้ำเอาฤกษ์เอาชัยตามธรรมเนียม เรือฟรีดอม ออฟ เดอะ ซีส์ ทดสอบการเดินทางมาแล้วในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาโดยล่องจากเมืองฮัมบวร์กในประเทศเยอรมนีไปยังเมืองออสโล ประเทศนอรเว บรรทุกเฉพาะลูกเรือและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานประจำเรือเท่านั้น ส่วนการเปิดรับนักท่องเที่ยวเพื่อเดินทางพักผ่อนหย่อนใจเป็นชุดแรกกำลังจะเริ่มขึ้นในเดือนหน้า ต้นทางคือเมืองไมอามี่ จุดหมายปลายทางคือหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียนฝั่งตะวันตก กว่าจะได้เรือสวยสุดหรูออกมาขนาดนี้ รอยัล แคริบเบียนฯ ควักเงินลงทุนไปถึง 800 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 32,000 ล้านบาท แต่บริษัทก็หวังว่าในการออกเดินทางแต่ละครั้งซึ่งจะบรรทุกผู้โดยสารได้คราวละ 4,000 กว่าคน จะได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวอย่างเนืองแน่น เพราะบนนั้นเปรียบได้กับสวรรค์ลอยน้ำที่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุกคนคาดหวัง แถมด้วยบางอย่างที่คนส่วนใหญ่ไม่คาดคิดว่าจะมี เช่นทะเลจำลองที่ติดตั้งอุปกรณ์ทำคลื่นเทียมเพื่อให้นักเล่นกระดานโต้คลื่นได้ลงไปเล่นกัน นอกจากนี้ยังมีลานสเก็ตน้ำแข็ง เวทีมวย และหน้าผาเทียมความสูงเท่าตึก 13 ชั้นเอาไว้ปีนป่ายท้าทายความแข็งแกร่งของร่างกาย สนนราคาความสุขบนเกลียวคลื่น เริ่มจาก 1,900 ดอลลาร์ (ประมาณ 76,000 บาท) เป็นตั๋วแพ็คเกจ 7 วันสำหรับผู้โดยสารที่มาเป็นคู่ ราคานี้เฉพาะในช่วงโลว์ซีซั่น แต่ถ้าเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ห้องขนาดเดียวกัน (มีระเบียงส่วนตัว) จะขยับราคาขึ้นไปได้เกือบๆ 2,500 ดอลลาร์ (100,000 บาท) ห้องชุดสุดหรูจะมีราคาถึง 22,000 ดอลลาร์ (880,000 บาท) เห็นราคาน่าขนลุกแบบนี้อย่าคิดว่าจะไม่มีใครกล้าจ่าย เพราะขนาดยังไม่เริ่มเปิดบริการอย่างเป็นทางการ ไอ้เจ้าห้องเดอลุกซ์ที่ว่าน่ะ มีคนจองเต็มแล้วไปจนกระทั่งถึงปี 2551 ! ใครนึกคันมือคันไม้อยากควักกะตังค์ใจจะขาด เชิญรอไปอีก 2 ปีนะจ๊ะ + เปรียบเทียบความมหึมาจากอดีต-ปัจจุบัน เรือไททานิค (Titanic) น้ำหนัก 46,329 ตัน บรรทุกผู้โดยสาร กว่า 3,500 คน เงินลงทุน 7.5 ล้านดอลลาร์ (ปีค.ศ. 1912) เรือควีน แมรี่ 2 (Queen Mary 2) น้ำหนัก 151,400 ตัน บรรทุกผู้โดยสาร ประมาณ 3,000 คน เงินลงทุนราว 800,000 ล้านดอลลาร์ เรือฟรีดอม ออฟ เดอะ ซีส์ (Freedom of the Seas) น้ำหนัก 158,000 ตัน บรรทุกผู้โดยสารได้กว่า 4,000 คน เงินลงทุนประมาณ 800,000 ล้านดอลลาร์ ฟรีดอม ออฟ เดอะ ซี เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดเพื่อลบล้างความรู้สึกน่าเบื่อหน่ายเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในเรือสำราญเป็นระยะเวลานานทิ้ง เรือลำนี้จึงไม่ต่างจาก การเนรมิตรเมืองขึ้นมาเมืองหนึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และมากเกินความจำเป็นที่หาไม่ได้ในเรือสำราญลำอื่น ไม่ว่าจะป็น วินเซิร์ป แห่งแรกแห่งเดียวในโลกที่ถูกบรรจุไว้ในเรือสำราญ H20 ศูนย์รวมแห่งสวนน้ำ สวนสนุก ลานสเก็ต สนามมวย ถนนช้อปปิ้งยาวเฟื่อย 400 กว่าฟุต ที่มีไว้บริการ ซึ่งถือว่าเป็นการบริการ ที่นอกเหนือจากที่เรือสำราญทั่วไปเพื่อสร้างความสนุกสนานให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างไม่รู้จักคำว่า "เบื่อ" โดยมีกิจกรรมทำตลอดทั้งวัน ส่วนการเลือกเปิดตลาดที่อังกฤษ ส่วนหนึ่ง เพราะต้องการรุกตลาดยุโรป หลังจากเป็นที่รู้จักในอเมริกากันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว โดยเส้นทางที่เรือลำนี้ให้บริการ เป็นเส้นทาง แถบ ทะเล แคลลิเบี้ยนเวสเทอร์น แคลิเบี้ยน แม็กซิโก 7 คืน เริ่มจากไมอามี่ ไปแม็กซิโก จอห์นทาวน์ จาไม้ก้า เฮติ ฯลฯ แล้วย้อนไปไมอามี่ใหม่ โดยจะเริ่มออกเดินทางทุกวันอาทิตย์ สนทราคาค่าบริการอยู่ที่เริ่มต้น 800 เหรียญยูเอส หรือราว 30,000 บาท สำหรับห้องพักที่ไม่มีหน้าต่าง และราคาสำหรับห้องพักแบบสวีทอยู่ที่ 3,750 เหรียญยูเอส หรือราว 142,500 บาทสำหรับห้องพักที่อยู่ได้ 14 คน เน้นความเป็นส่วนตั๋ว ส่วนตัว เหมาะสำหรับตลาดครอบครัว ราคานี้เป็นราคาค่าบริการเรือ แต่ถ้าเดินทางจากเมืองไทยก็ต้องรวมค่าตั๋วเครื่องบิน และอื่น ๆ อีก ฟรีดอม ออฟ เดอะ ซี ใช้เม็ดเงินลงทุนหลายพันล้านเหรียญยูเอส โดยต่อขึ้นที่ประเทศฟินแลนด์เมื่อ 3 ปีที่แล้ว มีน้ำหนักรวม 160,000 ตัน มีทั้งหมด 20 ชั้น แต่ให้บริการเพียงแค่ 15 ชั้น แต่ละชั้นยังได้จัดแบ่งการใช้สอยไว้อย่างเป็นระบบ เริ่มจากชั้น 2 บางส่วนจะเป็นห้องพัก , ห้องประชุม ,มีลานไอซ์สเก็ตจุคนได้ 1,200 คน กลางคืนจะมีโชว์ระดับโลก อาทิ ไอซ์ดอดคอม และห้องอินเตอร์เนต ชั้น 3 มีอาร์ตแกลลอรี่ โฟโต้ มีการแสดงของตากล้องที่มีชื่อเสียง และมีดิสโก้เทค ห้องอาหาร มีการตกแต่งด้วยภาพเขียน มีภาพถ่ายของลีโอนาร์โด ดาวินชี ชั้น 4 จะมีห้องคาสิโน ชั้น 5 จะเป็นถนนสายช้อปปิ้ มีความยาวของถนนไปจนถึงสุดปลายอีกด้านหนึ่งของเรือ ประมาณ 445 ฟุต หรือประมาณ 103 เมตรกว่า เรียกว่าช้อปกันไม่เบื่อ เพราะ ซ้าย-ขวามีร้านค้า เรียงรายให้เลือกซื้อ เลือกใช้บริการด้านความงามทั้งร้านทำผมคุณผู้ชาย ร้านหนังสือ ร้านขายของที่ระลึก ร้านไอศรีม ผับสไตล์อังกฤษ แชมเปญบาร์ ร้านกาแฟชื่อดัง เรียกว่ามีบริการหลากหลายจนเลือกไม่ถูก ชั้น 6 เป็นห้องเพรสซิเด้นท์สวีท เป็นห้องพักที่ค่อนข้างหรูหรา ส่วนชั้น 7 ?ชั้น 9 จะเป็นห้องพักทั่วไป ชั้น 10 จะเป็นในส่วนของเอนเตอร์เทนเม้นท์ ชั้น 11 จะเป็นร้านอาหาร ชั้น 12-ชั้น 13 เป็นส่วนของเอดเวนเจอร์ และจะเป็น H2O โซนก็จะเป็นสวนน้ำสำหรับเด็กและครอบครัว ส่วนบริการอื่นๆ ก็ไล่เลียงกันมาตามชั้นต่าง ๆ อาทิ เกมส์ สนามบาสเก็ตบอล ,วอลเล่ย์บอล สนามกอล์ฟมินิ 9 หลุม สระว่ายน้ำ เลานจ์ที่อยู่บนยอดสูงสุดของเรือทำให้มองเห็นวิวทิวทัศน์ของท้องทะเลในมุมมอง 360 อาศาทีเดียว ฟรีดอม ออฟ เดอะ ซี จุผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 4 พันคน ไม่รวมลูกเรืออีกร่วมพันคน ทุกอย่างฟรีหมดยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรืออาหารชนิดพิเศษที่ต้องจ่ายเพิ่มเป็นค่าจอง หมายความว่าลูกค้าโทรเข้าไปจองก็จะเสียค่าจอง 20 เหรียญหรือ 760 บาท หลังจากนั้นจะสั่งอะไรก็ได้ มีบริการรูมเซอร์วิส 24 ชั่วโมง สามารถสั่งอาหารรับประทานได้ตลอดเวลา ข้อมูลภาษาไทย จาก หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ข้อมูลภาพจาก Internet


เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก


เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก เกาะกรีนแลนด์ (Greenland) ทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติค มีเนื้อที่ทั้งหมด 840,000 ตารางไมล์ (2,175,600 ตารางกิโลเมตร)

กาแฟที่แพงที่สุดในโลก

คำสำคัญ Coffee, Civet
กลิ่นหอมหวนของมันอาจจะเป็นกลิ่นที่คุณชินจมูก รสขมเข้มของมัน อาจจะเป็นรสที่ ปลายลิ้นของ
คุณคุ้นเคย และมันอาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่คุณขาดมันไม่ได้ในตอนเช้า ช่วยขับไล่ ความง่วงงุน เปิดดวงตา
และสมองให้แจ่มใสพร้อมจะเริ่มต้นวันใหม่อย่างกระปรี้กระเปร่า...ใช่แล้ว มันคือกาแฟนั่นเองปัจจุบันนี้
กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่แพร่หลายในเกือบทุกมุมของโลก ไม่ว่าจะไปแห่งหนไหน ก็จะหาร้าน
กาแฟสักร้านได้ไม่ยาก แต่รู้ไหมว่า ครั้งหนึ่งกาแฟเคยเป็นความลับสุดยอดของประเทศแถบอาหรับ
และยังเคย ได้รับการกล่าวหาว่าเป็นเครื่องดื่มของปีศาจร้ายด้วย
ประวัติของกาแฟโดยย่อ
ตำนานหนึ่งเล่าว่า กาแฟถูกค้นพบโดยบังเอิญ เนื่องจากขายเลี้ยงแกะที่เผลองีบหลับไป
ตื่นขึ้นมาพบว่า แกะในฝูงของเขาล้วนออกอาการคึกคัก หลังจากที่กินลูก “เบอรี่” สีแดงจากต้นไม้ใบเขียว
เขาก็เลยลองชิมดูบ้าง และพบว่า ตัวเองก็รู้สึกตาสว่าง เต็มไปด้วยพลังงาน ไม่ต่างอะไรจากแกะในฝูงเลย
เขานำสิ่งที่พบนี้ ไปปรึกษากับหัวหน้าพระอย่างตื่นเต้น แต่หัวหน้าพระกลับไม่ไว้วางใจลูก “เบอรี่”
นี้ จนถึงกับโยนมันเข้าไปในกองไฟ และสั่งสอนชายเลี้ยงแกะว่า มันเป็นสิ่งล่อล่วงจากปีศาจร้าย
ขณะที่หัวหน้าพระกำลังเทศนาชายเลี้ยงแกะอยู่นั้น ลูก “เบอรี่” ที่อยู่ในกองไฟถูกเผาไหม้ส่งกลิ่น
หอมหวน จนพระองค์อื่นๆ อดรนทนไม่ได้ ต้องเดินตามกลิ่นนั้นเข้ามา และนั่นก็ทำให้หัวหน้าพระเปลี่ยนใจ
คิดใหม่ว่า ลูก “เบอรี่” นี้จะต้องเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประธาน มาให้เป็นแน่แท้ เพราะกลิ่นของมัน
เรียกพระองค์ อื่นๆ เข้ามา
หัวหน้าพระนำลูก “เบอรี่” ที่ถูกเผาไฟจนเป็นสีเข้มออกมาบด และเทน้ำใส่ ทำเป็นยาอายุวัฒนะ
ซึ่งทำให้พวกพระตาสว่างสวดมนต์สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าตลอดทั้งคืน
อีกตำนานเล่าว่า ชาวอราเบียนคนหนึ่งกับพรรคพวกของเขา ถูกเนรเทศเข้าไปในทะเลทราย
เพื่อให้ตกตายเพราะความหิวโหย ระหว่างที่กำลังเข้าตาจนอยู่นั้น เขาและเพื่อนต้มลูกไม้ที่ไม่รู้จักมาดื่ม
ประทังชีวิต เครื่องดื่มนั้นไม่ได้เพียงแค่ทำให้พวกเขารอดชีวิตเท่านั้น แต่พวกเขายังได้ลงหลักปักฐาน
ในเมืองที่ใกล้ที่สุดชื่อ ม็อคค่า (Mocha) พืชและเครื่องดื่มที่ทำจากพืชนั้น จึงได้รับชื่อว่า ม็อคค่า
เพื่อเป็นเกียรติต่อเหตุการณ์นั้นด้วย
2
ตำนานทั้งสองมีความเท็จจริงอย่างไร ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ แต่เป็นที่แน่นอนว่า
กาแฟถูกค้นพบมาเป็นพันปีก่อนคริสตศักราชแล้ว ต้นกาแฟนั้นเติบโตตามธรรมชาติในประเทศเอธิโอเปีย
แต่สมัยนั้นชนเผ่า กาลล่า (Galla) ของประเทศเอธิโอเปีย ไม่ได้ดื่มกาแฟ พวกเขาห่อเม็ดกาแฟ
ไว้ในไขมันสัตว์ เพื่อกินเป็นแหล่งพลังงานระหว่างที่ทำศึกกับต่างเผ่า
พ่อค้าชาวอาหรับนำต้นกาแฟกลับมายังถิ่นเกิดปลูกต้นกาแฟเหล่านี้ และเริ่มต้มเม็ดกาแฟ
เป็นเครื่องดื่ม โดยให้ชื่อว่า “คาห์วา (qahwa)” ซึ่งแปลได้ตรงตัวว่า “ทำให้ไม่หลับ”
กว่าที่กาแฟจะเป็นที่รู้จักกันนอกประเทศแถบอาหรับนั้นก็หลังจากนั้นอีกนานเพราะชาวอาหรับเชื่อ
ว่ากาแฟเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และปกป้องมันราวกับเป็นความลับสูงสุดทางทหาร รัฐบาลถึงกับห้ามการนำต้น
กาแฟ ออกจากประเทศเลยทีเดียว
การที่กาแฟแพร่หลายจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไปได้นั้นต้องขอบคุณชาวอาหรับที่ทำผิดกฎหมายคนหนึ่ง
ด้วยการแอบขนเม็ดกาแฟไปจนถึงภูเขาในประเทศอินเดีย และเริ่มปลูกไร่กาแฟที่นั่น หลังจากนั้น
กาแฟก็เป็นที่รู้จักของหลายประเทศมากยิ่งขึ้น และมาถึงประเทศในยุโรปเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1600
โดยพ่อค้าชาวอิตาเลียน
ในประเทศอิตาลี โป๊ป เคลเมนท์ ที่แปด (Pope Clement VIII) ได้รับคำยุยงจากที่ปรึกษาว่า
กาแฟนั้น เป็นเครื่องดื่มของปีศาจร้าย และควรจะทำการสั่งห้ามดื่มเสีย แต่โป๊ป เคลเมนท์ ที่แปด
กลับตัดสินใจ ที่จะทำการล้างบาปกาแฟด้วยการ ทำพิธีล้างบาป (baptize) เสียแทน เพื่อทำให้เครื่องดื่มนี้
เหมาะสมสำหรับชาวคริสเตียน
ร้านกาแฟร้านแล้วร้านเล่าจึงได้เปิดทำการขึ้นในแถบยุโรป เริ่มตั้งแต่ อิตาลี อังกฤษ ฝรั่งเศส
และไปไกลถึงอเมริกา จนถึงบัดนี้ แทบจะไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่รู้จักกาแฟอีกเลย
เม็ดกาแฟล้ำค่าจากมูลชะมด
ปัจจุบันนี้ กาแฟเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก มีการคั่ว ผสม ให้มีรสหลากหลาย ถูกปากผู้คนทุกระดับ
ตั้งแต่ เอสเพสโซ่ รสเข้มข้น คาปูชิโน่ รสนุ่มนวล หรือ คาเฟลาเต้ รสกลมกล่อมราคามีตั้งแต่ถ้วยละไม่กี่บาท
จนถึงถ้วยละหลายร้อยบาท
แต่กาแฟที่แพงที่สุดในโลกล่ะ คืออะไร คำตอบก็คือ โคปิ ลูแว็ค (Kopi Luwak) คุณอาจจะมีคำถาม
อยู่ในใจทันทีว่า โคปิ ลูแว็ค เป็นกาแฟแบบไหน แล้วทำไมมันถึง ได้เป็นกาแฟ ที่แพงที่สุดในโลก
คำตอบก็คือ เนื่องจากเม็ดกาแฟที่ซื้อขายกันอยู่ในตลาดทุกวันนี้ มาจากต้นกาแฟเพียงไม่กี่พันธุ์เท่านั้น
ที่รู้จักกันดีก็เช่น โรบัสต้า (Robusta) หรือ อราบิค่า (Arabica) ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ กำหนดคุณภาพและ
ราคาของกาแฟนั้นก็คือ เม็ดกาแฟนั้นมาจากที่ไหน
3
โคปิ ลูแว็ค เป็นกาแฟโรบัสต้าชนิดหนึ่ง แต่สามารถพบได้เพียงในเกาะใหญ่สามเกาะ
ของประเทศอินโดนีเซีย คือ สุมาตรา จาวา และ สุลาเวซิ และบางพื้นที่ในประเทศเวียดนามเท่านั้น
นอกจากกาแฟชนิดนี้จะหาได้จากบริเวณที่จำกัดแล้ว กว่าจะมาเป็นเม็ดกาแฟ โคปิ ลูแว็ค ได้
เม็ดกาแฟยังจะต้องผ่านกระบวนการพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์อีกด้วย กาแฟนี้จึงเป็นกาแฟหายากผลผลิต
น้อยมาก ประมาณ 500 ปอนด์ ต่อปี นอกจากนั้น มันยังเป็นกาแฟที่ได้รับความนิยมสูงอีกด้วย
ในไร่กาแฟทั่วๆไป สัตว์ที่กินเม็ดกาแฟเป็นอาหาร จัดเป็นศัตรูร้าย แต่ไร่กาแฟในสามเกาะใหญ่
ของประเทศอินโดนีเซียนี้ ยินดีต้อนรับสัตว์ที่กินเม็ดกาแฟเป็นอาหาร ที่เรียกว่า ชะมด (Palm Civet)
ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Paradoxurus hermaphroditus เป็นอย่างดี
ชะมดเป็นสัตว์ขนาดเล็ก หนักเพียงประมาณ 11 ปอนด์หรือประมาณ 5 กิโลกรัมเท่านั้น
มีลักษณะคล้ายแมว แต่แท้จริงแล้ว จะใกล้เคียงกับแร็คคูนมากกว่า ชะมดอาศัยและปีนป่ายอยู่ตามต้นไม้
เป็นสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืน โดยมีอาหารหลักคือ ผลไม้ แมลง และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเล็กๆ
แต่ชะมดที่อาศัยอยู่ในไร่กาแฟนั้น โปรดปรานเม็ดกาแฟเป็นอย่างมาก แถมยังเลือกกินเฉพาะเม็ด
ที่สุกที่สุดอีกด้วย แต่มันกลับไม่ใช่ศัตรูของผู้ผลิตกาแฟเลยแม้แต่น้อย เพราะระบบย่อยอาหาร
ของสัตว์ประเภทนี้ เพียงย่อยเปลือกนิ่มส่วนนอกของเม็ดกาแฟไปเท่านั้น เม็ดกาแฟที่ใช้สำหรับผลิตกาแฟ
ยังคงอยู่ในรูปร่างเดิม และถูกถ่ายออกมาพร้อมกับกากของเสียอื่นๆ ในมูลของมัน ซึ่งรวบรวมได้ง่าย
เพราะชะมด จะถ่ายตรงที่เดิม เป็นประจำ
กรดและเอนไซม์ในกระเพาะอาหารของชะมดทำปฏิกิริยาทางเคมี คล้ายกับการหมัก
(Fermentation) กับเม็ดกาแฟสุก ทำให้เกิดผลผลิตเป็นเม็ดกาแฟที่หายาก และแพงที่สุดในโลก
ชาวท้องถิ่นเรียกชะมดเหล่านี้ว่า ลูแว็ค ส่วน โคปิ คือ กาแฟ และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อ โคปิ ลูแว็ค
หรือแปลตรงตัวว่า กาแฟจากชะมดนั่นเอง
ผู้ที่เคยชิม โคปิ ลูแว็ค บอกว่า มันมีกลิ่นอายของป่า รสอร่อยเนื้อกาแฟเข้มข้น จนเกือบ
เหมือนน้ำเชื่อม มีรสของช็อกโกแล็ตกับคาราเมลเจืออยู่เล็กน้อย ดื่มแล้วรสสะอาดสดชื่นติดลิ้น
ดังนั้นถ้าคุณเบื่อกาแฟรสธรรมดาๆ อย่าง เอสเพสโซ่ คาปูชิโน่ หรือ คาเฟลาเต้ แล้ว
และอยากลองกาแฟที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้วละก็ ลองพิจารณากาแฟ โคปิ ลูแว็ค ซึ่งเป็นกาแฟ
แพงที่สุดในโลกดูบ้างไหม ราคาก็ไม่เท่าไหร่ กิโลกรัมละประมาณ 1,000 ดอลล่าร์สหรัฐ (ประมาณ 40,000
บาท) เท่านั้นเอง
4
เอกสารอ้างอิง
PageWise, Inc, What is the history of coffee, ออนไลน์, http://momo.essortment.com/whatisthehist_poo.htm, วันที่
เข้าถึง 10 มีนาคม 2548
Mr. Cappuccino, The History of Coffee, ออนไลน์, http://www.telusplanet.net/public/coffee/history.htm, วันที่เข้าถึง 10
มีนาคม 2548
IFIS Publishing, Kopi Luwak - top cat amongst coffees? ออนไลน์, http://www.foodsciencecentral.com/fsc/ixid13883,
วันที่เข้าถึง 10 มีนาคม 2548
”______”, Coffee, ออนไลน์, http://www.ringsurf.com/info/food/Coffee.html,วันที่เข้าถึง 8 มีนาคม 2548
Susan Lumpkin, Coffee Luwak, ออนไลน์, http://nationalzoo.si.edu/Publications/ZooGoer/1996/4/coffeeluwak.cfm,วันที่
เข้าถึง 8 มีนาคม 2548
15 มีนาคม 2548
โครงการฟิสิกส์และวิศวกรรม
โทร.0-2201-7123
E-mail: poovadee@yahoo.com

สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

เปตรา ประเทศจอร์แดน
เปตราเป็นภาษากรีก มีความหมายว่าหิน เมืองโบราณเปตราตั้งอยู่ในทะเลทราย เป็นเมืองหลวงของชนเผ่านาบาเชียนซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจอร์แดนในสมัยก่อน สร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์อาเรตัสที่ 4 (9 ปีก่อนคริสตกาล-ค.ศ.40) ชาวนาบาเชียนสร้างเมืองแห่งนี้โดยใช้วิธีการแกะสลักหินให้เป็นช่องอุโมงค์ โรงละครของเมืองแห่งนี้ซึ่งเป็นต้นแบบของโรงละครแบบกรีก-โรมันมีเนื้อที่สามารถจุผู้ชมได้ถึง 4,000 คน ส่วนหน้าของวิหารเอล เดียร์ ซึ่งสูง 42 เมตร ในเมืองแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีอีกแห่งหนึ่งของสถาปัตยกรรมแบบกรีกโบราณที่หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้

ทัชมาฮาล อนุสรณ์แห่งความรักหรือความตาย?

ทัชมาฮาลอนุสรณ์แห่งความรักบันลือโลกถูกออกแบบมาอย่างสมมาตรทุกสัดส่วน
อนุสรณ์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ หรือสุสานแห่งความตายของประชาชน?!? เมื่อไม่นานมานี้ฉันได้ฟังพระผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ "อนุสรณ์แห่งความรักทัชมาฮาล" ว่าแท้จริงแล้วอนุสรณ์สถานแห่งนี้เป็นอนุสรณ์แห่งความรักหรือความตายกันแน่?
"ทัชมาฮาล" 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก แห่งประเทศอินเดีย สถานที่นี้คนทั่วไปต่างรู้กันว่าเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ เกิดจากความรักที่ไม่ลืมหูลืมตาและความเศร้าที่สุดแสนจะคณานาของจักรพรรดิชาห์ ชหาน กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์โมกุล(Mughal Empire India) ที่ปกครองอินเดียในช่วงศตวรรษที่ 16 จนถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 19 พระเจ้าชาห์ ชหาน ได้พบกับบุตรสาว อรชุมันท์ พานุ เพคุม บุตรสาวของรัฐมนตรีเมื่ออายุ 14 พรรษา และหลงรักนางตั้งแต่แรกเจอต่อมาในอีก 5 ปี พระองค์และอรชุมันท์ พานุ เพคุมก็ได้อภิเสกสมรสกันในปี พ.ศ.2155 นับตั้งแต่นั้นมาทั้ง 2 ก็ไม่เคยอยู่ห่างกันอีกเลย
ตลอดระยะที่อยู่ร่วมกันพระมเหสี หรือนามที่พระเจ้าชาห์ ชหาน ตั้งให้ว่า "มุมตัช มาฮาล" อันแปลว่าอัญมณีแห่งราชวัง เป็นภรรยาที่สุดแสนประเสริฐ ทั้งติดตามพระเจ้าชาห์ ชหานไปออกรบ ช่วยงานราชการ คอยให้คำปรึกษาและให้กำลังใจ อีกทั้งยังมีความเมตตาช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเสมอ ทั้งหมดนั้นทำให้กษัตริย์ชาห์ ชหานทรงประทับใจและรักพระมเหสีอย่างที่สุด
แต่เมื่อครองคู่กันมาเป็นเวลา 18 ปี มุมตัช มาฮาลก็ได้ให้กำเนิดทายาทองค์ที่ 14 แต่หลังจากให้กำเนิดพระธิดาพระนางตกเลือดมาก อยู่ได้เพียงไม่นานพระนางก็สิ้นพระชนม์ในอ้อมกอดของพระเจ้าชาห์ ชหาน ซึ่งการสิ้นพระชนม์นี้นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจแก่พระเจ้าชาห์ ชหานอย่างมากมายมหาศาล พระองค์ทรงหมกมุ่นอยู่ในความทุกข์เศร้าโศกเสียใจตลอดเวลาไม่ทรงยิ้มไม่ทรงหัวเราะใดๆ ปล่อยพระวรกายจนผมที่ดำกลายเป็นสีขาวทั้งศีรษะ ในทุกวันพระองค์จะทรงนุ่งขาวห่มขาวไปนั่งรำพันถึงพระมเหสีของพระองค์ข้างหลุมศพอย่างกับคนเสียสติ
ด้วยความเศร้าโศกอย่างหาที่สุดไม่ได้พระองค์จึงทรงสร้างอนุสรณ์แห่งความรักของพระองค์กับพระมเหสี โดยทรงเลือกทำเลที่ดีที่สุดบริเวณริมโค้งแม่น้ำยมุนาเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์แห่งรักนี้ และพระองค์ก็ทรงทุ่มเทเวลาทั้งหมดในการวางแผนเขียนแปลนก่อสร้างด้วยพระองค์เอง และก็ได้ทรงจ้างสถาปนิกและช่างชาวอาหรับที่มีฝีมือมากมายเพื่อระดมสติปัญญาและกำลังในการก่อสร้างอนุสรณ์แห่งนี้ให้สำเร็จ
การสร้างครั้งนี้ใช้แรงงานผู้คนมากมายกว่า 20,000 คน ราชสมบัติส่วนใหญ่ที่มีได้สูญเสียไปกับการสร้างอนุสรณ์แห่งความรักของพระองค์ กินเวลานานถึง 22 ปี อนุสรณ์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ก็เสร็จสมบูรณ์อย่างงดงาม และพระองค์ก็ทรงให้ชื่อว่า "ทัชมาฮาล" (Taj Mahal)
หลายปีต่อมาหลังจากสร้างอนุสรณ์แห่งความรักทัชมาฮาลเสร็จสิ้น ได้เกิดศึกชิงราชบัลลังก์ระหว่างพระโอรสของพระองค์เอง ในระหว่างนั้นเจ้าชายโอรังเซบ (Aurangzeb) พระโอรสของพระองค์ก็ได้จับพระเจ้าชาห์ ชหาน ไปกักขังอยู่ที่ป้อมเมืองอัคราซึ่งอยูฝั่งตรงข้ามแม่น้ำกับทัชมาฮาล ด้วยข้อกล่าวหาว่าพระองค์เสียสติ และขึ้นครองบัลลังก์แทน
ระหว่างที่ถูกกักขังพระองค์ทรงมองทัชมาฮาลและรำพันถึงพระมเหสีของพระองค์ตลอด 8 ปี จนกระทั่งในปี ค.ศ.1666 ในวันสุดท้ายก่อนสวรรคตพระเจ้าชาห์ ชหานใช้เวลาทั้งวันในการจ้องมองเศษกระจกที่สะท้อนภาพของทัชมาฮาล หลังจากนั้นพระโอรสก็ได้นำพระศพของพระองค์มาฝั่งไว้เคียงข้างพระมเหสีที่พระองค์รักใคร่มิเคยลืมเลือน
เรื่องราวที่ฉันเล่ามานั้นเป็นหนึ่งในหลายตำนานของทัชมาฮาล ซึ่งนอกจากนี้ยังมีตำนานเล่าว่า หลังจากที่สร้างทัชมาฮาลเสร็จสิ้นแล้ว พระเจ้าชาห์ ชหานทรงหลงใหลในความงามของทัชมาฮาลและเกรงว่าเหล่าสถาปิกผู้ร่วมออกแบบและผู้สร้างทั้งหลายจะไปออกแบบสถาปัตยกรรมที่สวยงามเช่นนี้อีกจึงได้ทรงสั่งประหาร หรือตัดมือ ตัดขา ควักลูกตา ช่างทุกคนไม่ให้มีโอกาสได้สร้างผลงานที่สวยเท่านี้อีก
นี่คืออนุสรณ์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ หรืออนุสรณ์แห่งความตายของประชาชนมากมายที่ต้องล้มตายเพื่อบูชาความรักของตนเองเพียงคนเดียว ซึ่งตามหลักศาสนาแล้วถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง และฉันก็คิดเช่นเดียวกับที่พระท่านนี้ได้พูดไว้ แต่หากไม่ได้ความรักอันหน้ามืดตามัวของพระเจ้าชาห์ ชหานก็คงไม่มีทัชมาฮาล มรดกโลกที่สร้างสรรค์จากฝีมือมนุษย์ที่สวยงาม ยิ่งใหญ่ และมหัศจรรย์ของโลกให้เราได้โจษขานกันเช่นนี้
นับเป็นความขัดแย้งทางความรู้สึกของทัชมาฮาลที่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมองมุมไหน หรือมองทั้ง 2 มุมแล้วนำมาเป็นอุทาหรณ์
เมื่อมีทัชมาฮาลแล้ว เราก็มาว่ากันต่อเรื่องความสวยงามของสถาปัตยกรรมอันเลื่องชื่อบรรลือโลก ซึ่งนอกจากพระเจ้าชาห์ ชหานจะออกแบบเลือกแบบที่ดีที่สุดสวยที่สุดแล้ว ยังเลือกวัสดุที่ใช้อย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน ทุกสิ่งอย่างถูกออกแบบมาอย่างสมมาตรลงตัว ตั้งแต่ทางเดินนำสู่ตัวอาคารจะเริ่มต้นด้วยสวนขนาดใหญ่ซึ่งแบ่งเป็น 4 ส่วนที่สมมาตรโดยใช้ธารน้ำ 2 สายที่ก่อสร้างด้วยหินอ่อนเป็นตัวแบ่ง ในธารน้ำมีน้ำพุเป็นระยะ ตลอดแนวธารน้ำยังมีต้นสนปลูกเป็นแนวเรียงรายสวยงามนำสายตาไปสู่ตัวอาคาร
ตัวอาคารล้อมรอบด้วยหออะซานทั้ง 4 ด้าน ทางเข้าด้านหน้าของอาคารตรงกลางเป็นหลังคาโค้งขนาดใหญ่ขนาบด้วยหลังคาโค้งขนาดเล็กทั้งสองด้าน และส่วนที่เด่นที่สุดของทัชมาฮาลก็คืออาคารหินอ่อนสีขาวนวลตั้งอยู่บนฐานยกพื้นสี่เหลี่ยมจตุรัส ด้านบนของอาคารประดับด้วยโดมขนาดมหึมา เส้นผ่านศูนย์กลาง 58 ฟุต ยอดโดมสูง 213 ฟุต ภายในห้องโถงกลางที่ใหญ่ที่สุดใต้โดมยักษ์แห่งนี้เอง มีแท่นวางพระศพที่ทำด้วยหินอ่อนของทั้ง 2 พระองค์วางเคียงคู่กัน แต่พระศพจริงๆนั้นหาได้อยุ่ในหีบไม่ แต่ถูกฝังอยู่ภายในอุโมงค์ใต้ดินตรงกับที่วางหีบศพนั่นเอง
สำหรับการตกแต่งและลวดลายจะเป็นการตกแต่งแบบอิสลาม หลักๆแล้วจะมีลายเส้นอักษร ซึ่งสลักเป็นโองการต่างๆจากคำภีร์อัลกุรอาน 22 ซูรอฮ และยังมีรูปทรงเลขาคณิตและลวดลายดอกไม้ ทั้งยังมีการฝังพลอยที่มีค่าบนผนังด้วย
ชมทัชมาฮาลพร้อมฟังเรื่องราวอนุาภาพแห่งความรักอันยิ่งใหญ่แล้ว ต้องไม่พลาดที่จะไปต่อยัง "ป้อมอัครา" (Agrs Fort) ซึ่งเป็นสถานที่คุมขังพระเจ้าชาห์ ชหานจนสิ้นพระชนม์ ป้อมอัครแห่งนี้ก็มีความสวยงามยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน และก็ได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งด้วย
ป้อมอัคราหรือพระราชวังอัครา ซึ่งมีป้อมล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน ได้ถูกบันทึกว่ามีมาตั้งแต่ ค.ศ.1080 แล้ว ต่อมากษัตริย์อักบาร์ได้ทำการปฏิสังขรณ์และตกแต่งใหม่ด้วยหินทรายและศิลาสีแดงในปี ค.ศ.1565 ลักษณะของป้อมเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่โค้งแม่น้ำยมุนา ซึ่งถือเปมุมที่มองเห็นทัชมาฮาลได้สวยที่สุดก็ว่าได้
หากมองจากด้านนอกกำแพงของป้อมดูสูงใหญ่และแข็งแรง ซึ่งเป็นกำแพง 2 ชั้นระหว่างกำแพงมีคูน้ำคั่นกลาง มีสะพานเชื่อมต่อสามารถเดินชมได้รอบป้อม ภายในกำแพงสูงใหญ่ราว 70 ฟุตนั้นแบ่งพระราชวังและตำหนักอันงดงาม ในอดีตเคยเป็นที่ทำการของทหาร พระราชฐานชั้นนอกสำหรับออกว่าราชการ และพระราชฐานชั้นในเป็นที่ประทับของกษัตริย์และเหล่าสนม
อาคารส่วนใหญที่ถูกสร้างในสมัยกษัตริย์อักบาร์ ผู้ซึ่งสถาปนาเมืองอัคราเป็นราชธานี ศิลปะของป้อมอัคราก็สวยงามละเอียดประณีตผสมกันทั้งแบบพุทธแบบฮินดูแบบเปอร์เซีย ส่วนพระตำหนักของพระเจ้าชาห์ ชหานนั้นสร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลังอยู่ด้านหน้าของแม่น้ำยมุนา เพื่อที่จะได้สามารถมองเห็นทัชมาฮาลได้ตลอดเวลาตามตำนานที่เล่ามา

ปิรามิด ( Pyramid )



ท่ามกลางที่ราบอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เปลวแดดที่ร้อนระอุไปทั่วผืนทะเลทราย แผ่นดินที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงสีแดง สิ่งก่อสร้างที่สูงใหญ่ตั้งสง่าสะดุดสายตาเมื่อได้พบเห็น สิ่งนั้นคือ ปิรามิด (Pyramid) เป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อท้าทายกระแสลม แสงแดดที่แผดเผามาเป็นเวลานานหลายพันปี เพื่อแสดงถึงอารยธรรม -โบราณของมนุษย์ ต่อสายตาชาวโลกยุคใหม่ที่ยังคงฉงนสนเท่ไม่น้อยเมื่อมาพบเห็น
ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ ในอียิปต์มีอยู่ 70 แห่งด้วยกัน แต่ปิรามิด 3 แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดสันนิษฐานว่าปิรามิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปี
ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันแห่งเมืองกีซ่านี้ ที่ใหญ่ที่สุดคือปิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ เรียกว่า มหาปิรามิด
- ฐานของปิรามิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 5770,000 ตาราง 768 ฟุต บริเวณฐานปิรามิด 4 ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว - ตัวมหาปิรามิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000 ก้อน หนักกว่า 6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตร
สันนิษฐานว่าผู้สร้างปิรามิดนี้ อาศัยดวงดาวเป็นหลัก นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของปิรามิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยัง น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อส้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุต
ใจกลางปิรามิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต หีบพระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องปิรามิดของพระเจ้าคีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และปิรามิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง ปิรามิดแห่งที่สองของกีซ่าเป็น ปิรามิดคีเฟรน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมหาปิรามิด เล็กกว่ามหาปิรามิดเล็กน้อย คือสูง 460 ฟุต ช่วงบนของปิรามิดนี้มีลักษณะเด่นเพราะเป็นหินปูนขาว












กลิ่นลาเวนเดอร์ ช่วยไม่ให้สตรีตื่นเต้นกลัวภาพยนตร์น่าหวั่น

ผู้หญิงที่รู้ตัวว่าเป็นคนขวัญอ่อน หากจะต้องไปดูภาพยนตร์เรื่องเขย่าขวัญ ขอแนะนำว่าควรจะเตรียมหาน้ำหอมกลิ่นดอกลาเวนเดอร์เตรียมไปใช้ดมเอาไว้ จะไม่ ตกอกตกใจอะไรมาก หากแต่มันออกฤทธิ์กับสตรีเท่านั้น ไม่มีผลแบบเดียวกันถึงผู้ชายด้วย
ทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยเซนทรัล แลงแคชเชียร์ ของอังกฤษ ได้พบในการศึกษา ด้วยการคอยตรวจวัดดูอัตราการเต้นของหัวใจ ของกลุ่มสตรีที่ให้ดูภาพยนตร์เรื่องตื่นเต้นน่ากลัว เมื่อได้ดมน้ำหอมกลิ่นดอกลาเวนเดอร์ไปด้วย พบว่าจะไม่ค่อยเต้นเร็วขึ้นเท่าใด แสดงว่าอยู่ในภาวะผ่อนคลาย ตลอดเวลาของการชม
ในขณะที่กลุ่มผู้ชายที่เปรียบเทียบกัน กลับมีอาการตื่นเต้นมากกว่า อย่างเช่น เหงื่อมือออก แม้ว่าจะดมกลิ่นน้ำหอมด้วยเหมือนกันหัวหน้าคณะนักวิจัย บอกชี้แจงว่า ยังไม่ทราบสาเหตุว่า ทำไมน้ำหอมจึงมีผลแต่กับผู้หญิงเท่านั้น
ก่อนหน้านี้เมื่อปีกลาย นักวิจัยของวิทยาลัยคิงส์ คอลเลจลอนดอน ก็เคยรายงานว่า กลิ่นหอมๆ ช่วยให้บรรดาคนไข้ที่มาคอยรอรับการรักษา คลายความรู้สึกร้อนอกร้อนใจลงได้ พร้อมกับเสนอด้วยว่า ควรจะมีการปล่อยกลิ่นหอม ตามห้องคนไข้ที่มารอหาหมอ ซึ่งเหมือนกับเป็นการให้การบำบัดรักษาถึงที่.
ที่มา : ไทยรัฐ

เครื่องเทศ อาหารใช้เป็นยา

เครื่องเทศที่ใช้ในอาหารไทยแต่ละจานก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในเรื่องรสชาติที่เผ็ดร้อน สีสันที่สวยงาม และที่สำคัญคือกลิ่นหอมอบอวลของเครื่องเทศ ไม่เพียงแต่จะใช้ประกอบอาหารเท่านั้น เครื่องเทศยังมีสรรพคุณทางยารักษาโรคอีกด้วย
จากเส้นทางสายเครื่องเทศสู่ครัวไทย เครื่องเทศส่วนหนึ่งมีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่อีกส่วนหนึ่งเดินทางมาไกลจากต่างแดน อันเป็นที่มาของชื่อเครื่องเทศ ซึ่งคาดว่าเครื่องเทศเข้ามาสู่ครัวไทยตามการอพยพโยกย้ายของชาวอินเดียที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งในเมืองไทย สำหรับเครื่องเทศที่นิยมใช้ในอาหารไทยแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ เครื่องเทศสด และเครื่องเทศแห้ง
เครื่องเทศสด ได้แก่ พืชสวนครัวที่มีน้ำมันหอมระเหยในขณะที่ยังสดอยู่ และจะค่อยๆ ระเหยจางไปกับความแห้ง ซึ่งจะทำให้ความหอมลดลงหรือหมดไป เช่น ผักชีฝรั่ง โหระพา แมงลัก ขึ้นฉ่าย กะเพรา สะระแหน่ ขิง ข่า หอมแดง ใบมะกรูด ตะไคร้ เป็นต้น
เครื่องเทศแห้ง จะให้น้ำมันหอมระเหยเมื่อแห้ง และยิ่งหอมมากขึ้นเมื่อได้รับความร้อน ซึ่งจะกระตุ้นให้คายกลิ่นหอมออกมา ดังนั้นก่อนนำไปใช้ปรุงอาหารจึงนิยมนำไปคั่วก่อน ได้แก่ อบเชย จันทน์เทศ โป๊ยกั๊ก กระวาน พริกไทยดำ ดีปลี กานพลู ยี่หร่า เป็นต้น
10 เครื่องเทศแห้งยอดนิยมในเมืองไทย
ในเครื่องเทศบางชนิดมีสารที่เป็นตัวยาเป็นองค์ประกอบ ดังนั้น เมื่อเราได้รับประทานอาหารที่ปรุงจากเครื่องเทศหลากหลายชนิดก็เท่ากับเราได้รับยารักษาโรคที่วิเศษจากการทานอาหารนั้นด้วย ว่าแล้วเรามาทำความรู้จักกับเครื่องเทศแต่ละชนิดพร้อมๆ กันค่ะ
1. กานพลู ใช้ดอกตูมแห้ง มีสีน้ำตาลเข้ม กลิ่นหอม และรสเผ็ดร้อน คนเฒ่าคนแก่สมัยก่อนยังนิยมเคี้ยวกานพลูร่วมกับหมากเพื่อให้มีกลิ่นหอม
สรรพคุณทางยา ช่วยย่อยอาหาร ขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นยาชาเฉพาะที่ แก้ปวดฟัน อีกทั้งดอกกานพลูยังมีแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง วิธีใช้ในการประกอบอาหาร แกะเอาเกสรออกก่อนจึงคั่ว เพื่อให้มีกลิ่นหอมและมีรสเผ็ด ถ้าใส่ในพริกแกงต้องป่นก่อน เช่น แกงมัสมั่น แกงบุ่มไบ๋ เป็นต้น หรือจะใช้ทั้งดอกก็ได้ เช่น ใส่ในต้มเนื้อ
2. ลูกกระวาน มีการใช้กันมากทั้งในด้านการครัวและการแพทย์ กระวานมีลักษณะเป็นลูกกลมรี ขนาดเล็ก เปลือกสีขาวไม่แข็ง ภายในมีเม็ดสีน้ำตาลจำนวนมาก มีกลิ่นหอมฉุน มีรสเผ็ดเล็กน้อย และมีรสขมปนหวาน
สรรพคุณทางยา ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร ขับเสมหะ แก้อาการท้องเดินท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่น และใช้เป็นส่วนผสมในยาถ่ายเพื่อบรรเทาอาการไซ้ท้อง วิธีใช้ในการประกอบอาหาร เวลาใช้ต้องคั่วก่อนแล้วบีบให้เปลือกแตก ใช้แต่เม็ดใน ไม่ต้องโขลกให้ละเอียด ใช้ดับกลิ่นคาว และทำให้แกงมีกลิ่นหอม นิยมใช้เป็นเครื่องเทศในน้ำพริกแกง เช่น แกงเผ็ด มัสมั่น แกงกะหรี่ แกงพะแนง เป็นต้น และยังใช้แต่งกลิ่นและสีของอาหารหลายชนิด เช่น ขนมปัง อาหารหมักดอง และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ต่างๆ
3. ใบกระวาน ตามจริงแล้ว ใบตากแห้งซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ทำเครื่องเทศนั้น ไม่ใช่ใบของต้นกระวานแต่เป็นใบของต้นเทพธาโร ซึ่งมีกลิ่นหอมฉุน และรสเผ็ดร้อน
สรรพคุณทางยา ขับลม บำรุงเลือด บำรุงธาตุ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ วิธีใช้ในการประกอบอาหารเวลาใช้ฉีกเอาก้านกลางออกแล้วใส่เป็นชิ้นๆ เพียงเล็กน้อย ใช้ดับกลิ่นคาวเนื้อสัตว์ หรือนิยมใช้ลอยน้ำแกง เช่นแกงมัสมั่น
4. พริกไทย ผลแก่ตากแห้งทั้งเปลือก เรียกว่า พริกไทยดำ ส่วนผลแก่เอาเปลือกออก เหลือแต่เม็ด เรียกว่า พริกไทยขาวหรือพริกไทยล่อน มีกลิ่นหอมค่อนข้างฉุน รสเผ็ดร้อน
สรรพคุณทางยา ขับเหงื่อ ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ท้องผูก ปวดฟัน ช่วยเจริญอาหารวิธีใช้ในการประกอบอาหาร ใช้ทั้งเมล็ดหรือนำไปป่นละเอียด ใช้แต่งกลิ่นอาหาร ช่วยดับกลิ่นคาว ใช้ถนอมอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และเป็นส่วนประกอบของน้ำพริกแกง เช่น แกงเผ็ด พะแนงแกงเขียวหวาน มัสมั่น เป็นต้น นอกจากนี้ยังนิยมใช้พริกไทยขาวใส่ในแกงจืด
5. พริกแห้ง ใช้ผลตากแห้ง ผลสุกจะเป็นสีแดงหรือแดงปนน้ำตาล มีกลิ่นฉุนและรสเผ็ดร้อน ส่วนที่เผ็ดที่สุดของพริกอยู่ที่ในเมล็ดและไส้พริก ยังช่วยแต่งสีสันในอาหารให้ดูสวยงามอีกด้วย
สรรพคุณทางยา ขับเสมหะ ขับลม บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร ช่วยเจริญอาหาร วิธีใช้ในการประกอบอาหาร ใช้ทำน้ำพริกแกงเผ็ด แกงคั่ว แกงส้ม พะแนง และฉู่ฉี่เพราะให้สีและไม่เผ็ดมาก
6. จันทน์เทศ ลูกจันทน์เทศ เป็นผลของต้นจันทน์เทศ ส่วนที่ใช้เป็นเครื่องเทศคือ ส่วนในของเมล็ด เพราะเมล็ดมีเปลือกแข็งต้องทุบเปลือกออก ใช้เพียงส่วนเมล็ดภายในสีดำ กลิ่นหอมฉุน และรสฝาด ดอกจันทน์เทศ ส่วนที่เรียกกันว่าดอกจันทน์เทศนั้น ความจริงไม่ใช่ดอก แต่เป็นผิวที่หุ้มลูกจันทน์ หรือที่เรียกว่า เยื่อหุ้มเมล็ด (รก) ลักษณะเป็นเส้นใยแบน สีแสด กลิ่นหอมฉุนมาก รสค่อนข้างเปรี้ยวอมฝาด
สรรพคุณทางยา ขับลม บำรุงธาตุ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร และใส่เป็นส่วนผสมในยาหอม ช่วยแก้ลมกองละเอียด วิธีใช้ในการประกอบอาหาร การใช้ต้องคั่วแล้วป่นก่อนใส่อาหาร ใช้ดับกลิ่นคาวและเพิ่มความหอมในแกง เช่น แกงมัสมั่น แกงบุ่มไบ๋ แกงจี๋จ๋วน เป็นต้น รวมทั้งใช้ในการถนอมอาหาร ข้อควรระวัง ดอกจันทน์เทศมีสารไมริสติซิน (Myristicin) ถ้ากินมาก ทำให้เกิดอาการเคลิ้มฝัน การกินลูกจันทน์เกินกว่า 5 กรัม จะทำให้คลื่นไส้ อาเจียนมึนงง หัวใจเต้นผิดปกติ ปากแห้ง และอาจถึงตายได้
7. โป๊ยกั๊ก หรือ จันทน์แปดกลีบ เป็นเครื่องเทศจากจีน ส่วนที่ใช้คือ ผลแก่ตากแห้ง ลักษณะผลเป็นรูปดาวแปดแฉก สีน้ำตาลอมแดง มีกลิ่นหอมอ่อนๆ รสเผ็ดหวาน
สรรพคุณทางยา ขับลม ขับเสมหะ บำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย วิธีใช้ในการประกอบอาหาร ก่อนใช้นิยมเผาไฟหรือต้มให้หอมก่อน ใส่อาหารประเภทต้ม ตุ๋นหรืออบ ทำให้มีกลิ่นหอมน่ารับประทาน หรือนำไปป่นให้ละเอียดเป็นส่วนผสมสำคัญในการต้มพะโล้ ส่วนทางภาคเหนือใช้ใส่ในลาบ
8. ลูกผักชี ใช้ผลแก่ตากแห้ง ลักษณะลูกกลมเล็ก สีขาวหม่นหรือน้ำตาลซีด มีกลิ่นหอม ความหอมจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความแก่ของเมล็ด รสของลูกผักชีจะมีรสซ่าอ่อนๆ คล้ายชะเอม
สรรพคุณทางยา ช่วยเจริญอาหาร แก้อาการปวดท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับลม และขับปัสสาวะ วิธีใช้ในการประกอบอาหาร ก่อนนำไปประกอบอาหารต้องคั่วเสียก่อน คั่วแล้วโขลกขณะร้อนๆให้ละเอียด ใช้เป็นเครื่องแกงของแกงเผ็ด พะแนง แกงเขียวหวาน มัสมั่น นิยมใช้ร่วมกับเมล็ดยี่หร่า
9. ยี่หร่า หรือ เทียนขาว ใช้ผลแก่ตากแห้ง ลักษณะผลรูปรียาวแบน สีเหลืองอมน้ำตาล มีกลิ่นหอมมาก รสเผ็ดร้อนและขม ยี่หร่าเม็ดเล็กๆ จะหอมกว่าเมล็ดใหญ่
สรรพคุณทางยา ช่วยย่อย ขับระดูขาว ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ และเป็นส่วนผสมในยาหอม วิธีใช้ในการประกอบอาหาร ก่อนใช้ต้องทุบก่อนจึงจะหอม ใช้หมักเนื้อสัตว์ดับกลิ่นคาวนิยมใช้ร่วมกับเมล็ดผักชี นำมาคั่วไฟอ่อนๆ ให้กลิ่นหอม นำไปป่นละเอียดผสมในเครื่องแกงเช่น แกงเผ็ด แกงเขียวหวาน พะแนง หรือใช้แต่งกลิ่นอาหารประเภทขนมปัง ขนมเค้ก
10. อบเชย ส่วนที่ใช้คือ เปลือกของต้นอบเชย สีน้ำตาลปนแดง มีกลิ่นหอมนุ่มนวล รสขมหวานฝาด
สรรพคุณทางยา ขับเหงื่อ แก้อ่อนเพลีย แก้จุกแน่น ขับลม ใช้เป็นส่วนผสมของยานัตถุ์ น้ำมันอบเชยเทศมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและเชื้อจุลินทรีย์ วิธีใช้ในการประกอบอาหาร ก่อนใช้ต้องคั่วหรือเผาก่อน จึงจะมีกลิ่นหอม ใช้ดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ใส่ทั้งชิ้นหรือป่นละเอียดผสมในเครื่องแกง เช่น แกงมัสมั่น พะโล้ เนื้อตุ๋น เป็นต้น

กินเครื่องเทศปรับสมดุลธาตุเจ้าเรือน ตามตำราการแพทย์แผนไทยถือว่า การกินอาหารต้องเลือกให้ถูกกับธาตุเจ้าเรือน ถ้าหากเลือกได้เหมาะก็จะช่วยปรับสมดุลของร่างกายให้ปกติ ซึ่งการกินเครื่องเทศเพื่อบำรุงสุขภาพหรือป้องกันโรคนั้นมีความสัมพันธ์กับการกินตามธาตุเจ้าเรือน ดังนี้
ธาตุ ผู้ที่เกิดธาตุลมมักมีปัญหาเกี่ยวกับโรคข้อ โรคกระดูก โรคกระเพาะในระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องอืดเฟ้อ ท้องผูก มีลมแน่น จุกเสียด ผู้ที่มีธาตุลมจึงควรปรับสมดุลธาตุตนเองด้วยการรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดร้อน จำพวกเครื่องเทศ เช่น กะเพรา พริกไทย ยี่หร่า เป็นต้น วัยหรืออายุ ปัจฉิมวัยหรือวัยชรา (อายุ 32 ปีจนถึงสิ้นอายุขัย) มักจะเกิดความเจ็บป่วยด้วยโรคทางธาตุลม เป็นเหตุจึงต้องใช้เครื่องเทศหรืออาหารที่มีรสร้อนช่วยปรับสมดุลร่างกาย ฤดูกาล ฤดูที่เหมาะกับการใช้เครื่องเทศที่มีรสร้อนคือ ฤดูฝน เพราะมักเจ็บป่วยด้วยธาตุลม ซึ่งมีความเย็นที่มีมากเกินไป ทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ครั่นเนื้อ ครั่นตัว เป็นไข้หวัดได้ เวลา ช่วงบ่าย 14.00 น. -18.00 น. เป็นช่วงที่ธาตุลมกระทำโทษ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพ ทำให้มีอาการวิงเวียน ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย และเป็นลมในยามบ่ายได้